นายจตุภัทร์ ตั้งคารวคุณ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ทีโอเอ เพ้นท์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) (“TOA” หรือ “บริษัทฯ”) เปิดเผยว่า บริษัทฯ มีประสบการณ์ดำเนินธุรกิจในอุตสาหกรรมสีและสารเคลือบผิวสำหรับการผลิตผลิตภัณฑ์คุณภาพสูงมาอย่างยาวนาน โดยมีตราสินค้าเป็นที่ยอมรับในไทยและอาเซียน และยังเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีและการให้บริการลูกค้า ตลอดจนมีการค้นคว้าและพัฒนาผลิตภัณฑ์สีและสารเคลือบผิวที่เป็นนวัตกรรมคุณภาพสูง ปลอดภัยต่อสุขภาพและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคและสร้างความพึงพอใจให้แก่ลูกค้า
จากประสบการณ์ของผู้ก่อตั้งบริษัทฯ กว่า 50 ปี ความแข็งแกร่งของตราสินค้า และการค้นคว้าและพัฒนาผลิตภัณฑ์ต่างๆ ทำให้บริษัทฯ เป็นผู้ผลิตสีทาอาคารรายใหญ่ที่สุดในไทยเมื่อพิจารณาจากยอดขาย โดยปี 2559 บริษัทฯ มีส่วนแบ่งการตลาดในไทยประมาณร้อยละ 48.7 และมีส่วนแบ่งการตลาดผลิตภัณฑ์สีและสารเคลือบผิวในเขตประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนประมาณร้อยละ 13.0 จากข้อมูลของ Frost & Sullivan (S) Pte. Ltd.
นายพงษ์เชิด จามีกรกุล กรรมการผู้จัดการใหญ่ TOA กล่าวว่า บริษัทฯ แบ่งผลิตภัณฑ์หลักเป็น 2 กลุ่ม ได้แก่ 1. กลุ่มผลิตภัณฑ์สีทาอาคาร (Decorative Paint and Coating Products) ทั้งเกรดพรีเมียม เกรดปานกลางและเกรดอีโคโนมี่ รวมถึงสีทาอาคารประเภทอื่นๆ รวมประมาณ 9,106หน่วยเก็บสินค้า (SKUs) ภายใต้ตราสินค้าต่างๆ จำนวน 114 ตราสินค้า โดยตราสินค้าที่สำคัญของบริษัทฯ ได้แก่ ซุปเปอร์ชิลด์ (SuperShield) ซุปเปอร์ชิลด์ ดูราคลีน เอ พลัส (SuperShield DURACLEAN A+) ทีโอเอ เซเว่น อิน วัน (TOA 7 in 1) ทีโอเอ เอ็กซ์ตร้า เวท (TOA ExtraWet) ทีโอเอ กลิปตั้น (TOA GLIPTON) ทีโอเอ ชิลด์วัน นาโน (TOA Shield-1 Nano) โฟร์ซีซันส์ (4Seasons) ซุปเปอร์เทค (Supertech) ซุปเปอร์เมเทค (Super Matex) โกเบ (KOBE) และเป็ดหงส์ (Mandarin Duck) ที่ผลิตโดยบริษัทฯ รวมถึงตราสินค้าที่ผลิตและจัดจำหน่ายโดยบริษัท กัปตัน โค๊ทติ้ง จำกัด และตราสินค้าที่จัดจำหน่ายโดยบริษัท บริติช เพ้นท์ส จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของTOA โดย TOA มีสัดส่วนรายได้จากกลุ่มผลิตภัณฑ์สีทาอาคาร คิดเป็นร้อยละ 70.2 ของรายได้จากการขายรวมในไตรมาส 1/60 และ 2. กลุ่มผลิตภัณฑ์สีและสารเคลือบผิวและผลิตภัณฑ์ประเภทอื่น (Non-Decorative Paint and Coating Products) ประกอบด้วย ผลิตภัณฑ์สีและสารเคลือบผิวสำหรับงานไม้ ผลิตภัณฑ์เคมีก่อสร้าง ผลิตภัณฑ์สีที่มีความทนทานสูง ผลิตภัณฑ์ฮาร์ดแวร์และผลิตภัณฑ์อื่นๆ รวมประมาณ 2,730 หน่วยเก็บสินค้า (SKUs) ภายใต้ตราสินค้าต่างๆ จำนวน 88ตราสินค้า ซึ่งอยู่ภายใต้ตราสินค้าของบริษัทฯ เช่น ทีโอเอ วู๊ดสเตน (TOA Wood Stain) เฮฟวี่การ์ด (HeavyGuard) ผลิตภัณฑ์ทีโอเอ เคมีก่อสร้าง (TOA Construction Chemicals) วิน (WIN) และโกเบ (KOBE) และภายใต้ตราสินค้าของบุคคลอื่น ซึ่งบริษัทฯ ไม่ได้เป็นผู้ผลิต เช่น RYOBI โดย TOA มีสัดส่วนรายได้จากผลิตภัณฑ์กลุ่มนี้ คิดเป็นร้อยละ 26.3 ของรายได้จากการขายรวมในไตรมาส1/60
ณ วันที่ 31 มีนาคม 2560 บริษัทฯ มีโรงงานผลิต 8 แห่ง ใน 6 ประเทศ ได้แก่ ประเทศไทย 3แห่ง เวียดนาม สปป.ลาว มาเลเซีย เมียนมาร์และกัมพูชา ประเทศละ 1 แห่ง มีกำลังการผลิตรวมประมาณ 88.0 ล้านแกลลอนต่อปี (ไม่รวมโรงงานผลิตในกัมพูชาภายใต้ TOA Skim Coat(Cambodia) Co., Ltd. ที่อยู่ระหว่างขอรับใบอนุญาต) และอยู่ระหว่างก่อสร้างโรงงานผลิตแห่งใหม่ในต่างประเทศอีก 3 แห่ง ได้แก่ ประเทศอินโดนีเซีย ซึ่งคาดว่าจะเริ่มผลิตเชิงพาณิชย์ในไตรมาส2/61 ประเทศกัมพูชา ภายใต้ TOA Paint (Cambodia) Co., Ltd. ซึ่งคาดว่าจะเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ในไตรมาส 4/61 และประเทศเมียนมาร์ ที่มีแผนย้ายโรงงานจากเมืองย่างกุ้งไปอยู่ที่เขตเศรษฐกิจติละวา คาดว่าจะเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ในไตรมาส 3/61 ทั้งนี้ เมื่อรวมกำลังการผลิตของโรงงานผลิตทั้งสามแห่งเมื่อสร้างเสร็จ บริษัทฯ คาดว่ากำลังการผลิตในเขตประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนของบริษัทฯ จะเพิ่มขึ้นประมาณ 15.1 ล้านแกลลอนต่อปี หรือประมาณร้อยละ 17.1 ของกำลังการผลิตในปัจจุบัน (ไม่รวมโรงงานผลิตภายใต้ TOA Skim Coat (Cambodia) Co., Ltd.) ซึ่งจะส่งผลดีต่อศักยภาพการทำตลาดที่ดีขึ้นและสามารถเพิ่มส่วนแบ่งการตลาดผลิตภัณฑ์สีและสารเคลือบผิวใน AEC
นายแมนพงศ์ เสนาณรงค์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงินร่วม กล่าวว่า TOA มีศักยภาพการเติบโตที่ดีทั้งตลาดในประเทศและภูมิภาคอาเซียน เนื่องจากมีตราสินค้าที่แข็งแกร่งเป็นที่จดจำและได้รับการยอมรับในด้านคุณภาพสินค้าจากผู้บริโภคทุกกลุ่ม ทั้งกลุ่มลูกค้าทั่วไป ช่าง ผู้รับเหมาและเจ้าของโครงการทั้งภาครัฐและเอกชน ขณะเดียวกัน บริษัทฯ ยังมีทีมวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่เข้มแข็ง จึงสามารถพัฒนาสินค้าที่เป็นนวัตกรรมใหม่และยังเป็นผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมออกสู่ตลาดอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งมีช่องทางการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ที่ครอบคลุมทั่วประเทศไทย นอกจากนี้ TOA ยังได้ขยายการลงทุนโรงงานผลิตในประเทศอินโดนีเซีย กัมพูชาและเมียนมาร์ ซึ่งเป็นตลาดที่มีศักยภาพและแนวโน้มการเติบโตที่ดีในอนาคตตามการขยายตัวของเศรษฐกิจในภูมิภาคอาเซียน จึงมีโอกาสที่จะขยายฐานลูกค้าได้อีกมาก และส่งผลให้ TOA เป็นบริษัทฯ ที่มีศักยภาพการเติบโตที่ดี
นายพิเชษฐ สิทธิอำนวย กรรมการผู้อำนวยการ บริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง จำกัด (มหาชน) ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงินร่วม กล่าวว่า หลังจาก TOA ได้ยื่นแบบคำขออนุญาตเสนอขายหลักทรัพย์และแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายหลักทรัพย์ (ไฟลิ่ง) ต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (สำนักงาน ก.ล.ต.) เพื่อขอเสนอขายหุ้นสามัญให้แก่ประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO) ล่าสุดสำนักงาน ก.ล.ต. ได้นับหนึ่งแบบคำขออนุญาตเสนอขายหลักทรัพย์และแบบไฟลิ่งเป็นที่เรียบร้อย โดยปัจจุบัน TOA มีทุนจดทะเบียน 2,029 ล้านบาท แบ่งเป็นหุ้นสามัญจำนวน 2,029 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้ (พาร์) หุ้นละ 1 บาท โดยทุนที่ออกจำหน่ายและเรียกชำระแล้วมีจำนวน 1,775 ล้านหุ้น และจะเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุน (IPO) และหุ้นสามัญเดิม จำนวนไม่เกิน 507.6 ล้านหุ้น ซึ่งแบ่งเป็นหุ้นสามัญเพิ่มทุนที่เสนอขายโดยบริษัทฯ จำนวนไม่เกิน 254.0ล้านหุ้น และหุ้นสามัญเดิมที่เสนอขายโดยผู้ถือหุ้นเดิม (บริษัท ไวแบรนท์ โฮลดิ้ง ลิมิเต็ด) จำนวนไม่เกิน 253.6 ล้านหุ้น รวมคิดเป็นไม่เกินร้อยละ 25.02 ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและเรียกชำระแล้วทั้งหมดของบริษัทฯ ภายหลังการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนในครั้งนี้
