หน้า: 1

ชนิดกระทู้ ผู้เขียน กระทู้: คิดว่าธุรกิจใดในประเทศไทยผูกขาดหรือเป็นเจ้าตลาดแต่เพียงรายเดียว  (อ่าน 2461 ครั้ง)
add
เรทกระทู้
« เมื่อ: 17 เม.ย. 15, 11:28 น »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ
Send E-mail

แบ่งปันกระทู้นี้ให้เพื่อนคุณอ่านไหมคะ?

ปิดปิด
 

เวลาเราพูดถึงการผูกขาด หรือ Monopoly นั้น เรามักจะนึกถึงการผูกขาดตามโครงสร้างอุตสาหกรรมคือ มีผู้ขายสินค้าเพียงรายเดียวในตลาดที่ไม่ต้องแข่งขันกับใคร ดังนั้น ผู้ที่ผูกขาดก็สามารถกำหนดราคาและปริมาณเพื่อให้ได้กำไรสูงสุด ผลเสียก็จะตกกับผู้บริโภคเพราะต้องแย่งสินค้าที่มีปริมาณน้อยและยังต้องจ่ายแพงอีกด้วย อย่างไรก็ตาม หากในตลาดมีผู้เล่นมากกว่า 1 ราย แต่ผู้บริโภคกลับคิดว่า ตลาดนี้ถูกครอบงำโดยผู้ขายเพียงรายเดียว ลักษณะนี้ นักเศรษฐศาสตร์ไม่ค่อยพูดถึง แต่นักการตลาดเรียกว่า การผูกขาดเทียม หรือ Psychological Monopoly (เวลาผมสอนนักศึกษาก็จะเรียกตามภาษาวัยรุ่นว่า ผูกขาดแบบมโนไปเอง)
การผูกขาดเทียม อาจเกิดจากการผู้บริโภคยึดติดกับยี่ห้อหรือตราสินค้าหนึ่งจนรู้สึกว่าไม่มีอะไรมาทดแทนได้ ผู้บริโภคก็จะลืมนึกถึงคู่แข่งหรือทางเลือกอื่น ตัวอย่างหนึ่งคือ Google ในธุรกิจโปรแกรมค้นหาข้อมูลบนอินเทอร์เน็ต หรือ Search Engine ผมเคยทำวิจัยเรื่องดังกล่าวพบว่า นักศึกษาไทยยึดติดกับ Google มากจนไม่ได้ใส่ใจว่ายังมี Search Engine อีกมากมายให้เลือก หลายคนคิดว่า Google เป็นผู้ผูกขาดธุรกิจนี้แต่เพียงผู้เดียวในโลก (ไม่ใช่เฉพาะประเทศไทยนะครับ) แต่ในความเป็นจริงแล้ว แม้ว่าส่วนแบ่งการตลาดของ Google ในประเทศไทยอาจจะมากกว่า 90% แต่ก็ยังไม่ใช่ 100% ในขณะที่ส่วนแบ่งการตลาดของ Google ในบางประเทศนั้นน้อยกว่า 50% ด้วยซ้ำไป บางคนก็อาจนึกถึง Line หรือ Facebook ว่าเป็นผู้ผูกขาด ในขณะที่สาวก Apple หลายคนอาจมีความรู้สึกนี้เช่นกัน โดยมองว่า Android นั้นไม่ใช่คู่แข่ง เนื่องจากไม่มีอะไรมาทดแทน Apple ได้ เป็นต้น
การผูกขาดโดยเฉพาะการผูกขาดเทียมอาจไม่ใช่ข่าวดีสำหรับผู้ประกอบการเสมอไป หากการผูกขาดนั้นส่งผลให้ผู้บริโภครู้สึก “กลัว” ว่าผู้ผลิตหรือผู้ขายสินค้าจะใช้กลยุทธ์บางอย่างที่ส่งผลให้ผู้บริโภคเสียประโยชน์เมื่อกระแสไม่พอใจหรือต่อต้านมีมาก การทำธุรกิจก็จะยากขึ้น ในกรณีของ ปตท. นั้น มีประวัติศาสตร์อันยาวนานตั้งแต่เป็นรัฐวิสาหกิจจนกระทั่งแปรรูปไปเป็นบริษัทมหาชนในตลาดหลักทรัพย์ฯ รายได้และกำไรนั้นมหาศาลติดอันดับโลก (ไม่ใช่เฉพาะในประเทศไทยเท่านั้น) แม้ว่า ปตท. จะพยายามกระจายธุรกิจให้มีความหลากหลายแต่ธุรกิจหลักก็ยังเกี่ยวข้องกับพลังงานซึ่งคนไทยมองว่าเป็นสิ่งจำเป็นและเป็นค่าใช้จ่ายลำดับต้นๆ ข่าวคราวเรื่องกิจกรรมเพื่อสังคมก็มีมากแต่ก็ถูกเบียดบังไปเมื่อมีเรื่องเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม และไหนจะยังมีเรื่องท่อก๊าซอีก ในส่วนของราคาน้ำมันนั้น แม้ว่าทุกคนจะทราบดีว่าปตท.ไม่ได้เป็นผู้กำหนดราคาขายปลีกน้ำมันแต่รัฐก็เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของปตท.อยู่ดีจึงไม่น่าแปลกใจหากคนจำนวนมากจะ “กลัว” ปตท.
สำหรับกรณีของซีพีนั้น มีธุรกิจตั้งแต่ต้นน้ำยันปลายน้ำ แต่ธุรกิจที่นักศึกษาคิดว่าผูกขาดคือ ไก่ ไข่ กุ้ง และอาหารแช่แข็ง บางคนกลัวว่าเซเว่น-อีเลฟเว่น (7-11) และแม็คโคร (Macro) จะผูกขาดค้าปลีกของประเทศไทย ซึ่งก็น่าเห็นใจซีพี ที่ทำธุรกิจเกี่ยวกับอาหารและค้าปลีก (จริงๆ แล้วมีธุรกิจอื่นๆ อีกมาก) ซึ่งใกล้ตัวผู้บริโภคมาก บางคนกลัวไปถึงว่าในอนาคต 7-11 จะขายแต่ของของซีพี แล้วผู้บริโภคคนไทยก็จะถูกบังคับให้กินเฉพาะของของซีพีแบบไม่มีทางเลือกอื่น บางคนกลัวในประเด็นของเกษตรพันธสัญญา หรือ Contract Farming ว่าเกษตรกรจะถูกเอาเปรียบเพราะซีพีมีอำนาจการต่อรองสูงกว่า แท้จริงแล้ว เราไม่ควรกลัวทั้งผู้ผูกขาดจริงและผู้ผูกขาดเทียม หากพฤติกรรมของผู้ผูกขาดไม่ได้ใช้ “อำนาจเหนือตลาด” เอาเปรียบผู้อื่น เช่น ผู้บริโภคไม่ควรกลัวที่ 7-11 จะขายของซีพี (ถ้าของเขาดีจริง) แต่ควรกลัวถ้า 7-11 มีพฤติกรรมกีดกันไม่ให้ผู้ผลิตรายอื่นขายของใน 7-11 หรือปฏิบัติกับผู้ประกอบการรายอื่นๆ ที่ไม่ใช่ซีพีอย่างไม่เป็นธรรม ในกรณีของเกษตรพันธสัญญาก็เช่นกัน เราไม่ควรกลัวเกษตรพันธสัญญาที่เป็นทางเลือกเพิ่มเติมให้เกษตรกร แต่ควรกลัวกรณีที่มีการหลอกลวงหรือบังคับให้เกษตรกรเข้าทำสัญญาที่ไม่เป็นธรรม เป็นต้น
สรุปโดยให้นักศึกษาแต่ละคนเขียนสิ่งที่เขาคิดลงในกระดาษ ผลที่ได้คือ นักศึกษาส่วนใหญ่ตอบว่า ซีพี รองลงมาคือ ปตท. มีบางคนตอบว่าคิงพาวเวอร์ ไฟฟ้า ประปา ทางด่วน แต่ก็เป็นส่วนน้อย คำตอบดังกล่าวทำให้ผมต้องตั้งคำถามนักศึกษาเพิ่มเติมเช่น ซีพี เป็นบริษัทขนาดใหญ่ที่มีธุรกิจมากมายทั้ง ไก่ หมู อาหารสัตว์ ค้าปลีก โทรคมนาคม อสังหาริมทรัพย์ ฯลฯ ดังนั้น ถ้าจะบอกว่า ซีพี ผูกขาด ก็ต้องระบุให้ชัดว่าผูกขาดในธุรกิจใด และผูกขาดในตลาดใดด้วยเช่น ผูกขาดในประเทศไทยแต่เป็นเพียงผู้เล่นรายเล็กๆ ในตลาดโลก เป็นต้น แต่พอหาข้อมูลเพิ่มเติมก็จะพบว่าธุรกิจส่วนใหญ่ของซีพีในประเทศไทย ล้วนแต่มีคู่แข่งด้วยกันทั้งสิ้น ในส่วนของปตท. นั้น นักศึกษาส่วนใหญ่ให้เหตุผลว่าฟังมาอีกทีจากสื่อต่างๆ ซึ่งก็ต้องชี้ให้นักศึกษาคิดอีกครั้งเกี่ยวกับธุรกิจของ ปตท.ว่า ต้องแยกการวิเคราะห์ออกเป็น การสำรวจ การผลิต การขนส่งผ่านท่อ โรงกลั่น ปั๊มน้ำมัน และอาจรวมถึงร้านกาแฟ ด้วย
หลังจากการสอนเรื่องผูกขาด ผมถามนักศึกษาเป็นคำถามสุดท้ายว่า ตอนนี้ทุกคนรู้แล้วว่าในทางทฤษฎีนั้น การผูกขาดส่งผลเสียต่อสังคม แต่ถ้านักศึกษาจบการศึกษาและออกไปเป็นเจ้าของธุรกิจ นักศึกษาอยากเป็นผู้ผูกขาดหรือไม่ ผมว่าท่านผู้อ่านคงเดาได้ว่านักศึกษาทุกคนตอบผมว่าอย่างไร

ที่มา:https://www.facebook.com/nongposamm/photos/a.1548159858783765.1073741828.1547935488806202/1591207404479010/?type=1&theater



« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 17 เม.ย. 15, 11:35 น โดย parkoa » noticeแจ้งลบความคิดเห็นนี้   บันทึกการเข้า

กระทู้ฮอตในรอบ 7 วัน

Tags:  น้ำมัน พลังงาน ป.ต.ท 

หน้า: 1

 
ตอบ

ชื่อ:
 
แชร์ไป Facebook ด้วย
กระทู้:
ไอค่อนข้อความ:
ตัวหนาตัวเอียงตัวขีดเส้นใต้จัดย่อหน้าชิดซ้ายจัดย่อหน้ากึ่งกลางจัดย่อหน้าชิดขวา

 
 

[เพิ่มเติม]
แนบไฟล์: (แนบไฟล์เพิ่ม)
ไฟล์ที่อนุญาต: gif, jpg, jpeg
ขนาดไฟล์สูงสุดที่อนุญาต 20000000 KB : 4 ไฟล์ : ต่อความคิดเห็น
ติดตามกระทู้นี้ : ส่งไปที่อีเมลของสมาชิกสนุก
  ส่งไปที่
พิมพ์อักษรตามภาพ:
พิมพ์ตัวอักษรที่แสดงในรูปภาพ
 
:  
  • ข้อความของคุณอยู่ในกระทู้นี้
  • กระทู้ที่ถูกใส่กุญแจ
  • กระทู้ปกติ
  • กระทู้ติดหมุด
  • กระทู้น่าสนใจ (มีผู้ตอบมากกว่า 15 ครั้ง)
  • โพลล์
  • กระทู้น่าสนใจมาก (มีผู้ตอบมากกว่า 25 ครั้ง)
         
หากท่านพบเห็นการกระทำ หรือพฤติกรรมใด ๆ ที่ไม่เหมาะสม ซึ่งอาจก่อให้เกิดความเสื่อมเสียแก่สถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ รวมถึง การใช้ข้อความที่ไม่สุภาพ พฤติกรรมการหลอกลวง การเผยแพร่ภาพลามก อนาจาร หรือการกระทำใด ๆ ที่อาจก่อให้ผู้อื่น ได้รับความเสียหาย กรุณาแจ้งมาที่ แนะนำติชม