ทำไมต้องใช้น้ำยาปรับผ้านุ่น น้ำยาปรับผ้านุ่มจำเป็นจริงๆหรอ ก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 ผู้บริโภคนิยมใช้สบู่เพื่อซักผ้า โดยสบู่ทำมาจากไขมันหรือกรดไขมัน(fatty acids)เสื้อผ้าที่ซักด้วยสบู่จะมีไขมันบ้างส่วนตกค้างอยู่ที่เนื้อผ้าทำให้เสื้อผ้านุ่มมือขึ้น การพัฒนาผงซักฟอก (synthetic detergents) เริ่มภายหลังการเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 และได้รับความนิยมมาโดยตลอด ผู้บริโภคจึงไม่กลับไปใช้สบู่ซักผ้าอีก เนื่องจากผงซักฟอกมีความสามารถในการทำความสะอาดสูงกว่าสบู่และมีคุณสมบัติที่ดีอื่นๆ หลายอย่างที่สบู่ไม่มี แต่การซักผ้าด้วยผงซักฟอกทำให้ใยผ้าบิดเบี้ยวผิดส่วนพันกันยุ่งเหยิง ทำให้ผ้าแข็ง และสากมือ (uncomfortable hand) ซึ่งเป็นผลมาจากความสามารถที่ยอดเยี่ยมในการกำจัดคราบสกปรกและคราบไขมันต่างๆ รวมถึงไขมันบนผ้าจากกระบวนการถักทอ ดังนั้นจึงพบว่าเมื่อเสื้อผ้าถูกซักไปหลายๆครั้งมักจะเกิดปัญหาหลักๆ 4 อย่างคือ
1.ผ้าจะเสียรูปทรงเนื่องจากแรงขัดถูและแรงเหวี่ยงของเครื่องซักผ้า ใยผ้าจะแตกเป็นเส้นใยเล็กๆ (fibrils) เมื่อทำให้ผ้าแห้ง เส้นใยเล็กๆ (fibrils) จะพันกันจึงทำให้ผ้ากระด้าง
2.เส้นใยเล็กๆ เป็นจุดที่น้ำกระด้าง สามารถตกตะกอนเกลือของแคลเซียม แมกนีเซียมและเกลือที่มาจากการสลายของสารต่างๆ ที่อยู่ในผงซักฟอก จึงทำให้ผ้ากระด้าง
3.สิ่งสกปรกที่หลุดออกมาจากเสื้อผ้าที่ซักในผงซักฟอกมาเกาะติดที่ผ้า ทำให้สีผ้าหม่นหรือเป็นสีเทาสำหรับผ้าสี สีเทาที่เห็นบนผิงหน้าของผ้าเกิดจากเส้นใยเล็กๆทำให้การกระจายแสงที่มาตกกระทบบนพื้นผิวผ้าเปลี่ยนไป ทำให้เสื้อผ้าดูหมองลง
4.เส้นใยเล็กๆ จะปิดกั้นไม่ให้ผงซักฟอกแทรกซึมลงไปในเนื้อผ้าและลดประสิทธิภาพ ของเอนไซด์ (enzyme) เช่น ไลเปส (lipase) จึงทำให้ประสิทธิภาพของผงซักฟอกลดลง
ดังนั้นจึงได้มีการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ใช้ปรับสภาพของผ้า และทำให้ผ้านุ่มขึ้นนั่นก็คือ น้ำยาปรับผ้านุ่ม(fabric softener) น้ำยาปรับผ้านุ่มถูกนำมาใช้ตามบ้านเรือนนานกว่า 60 ปีแล้ว
คุณคิดว่าเราควรใช้น้ำยาปรับผ้านุ่มหรือไม่
อ่านเพิ่มเติมและบทความอื่นๆได้ที่
http://evecloset.lnwshop.com