ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เว็บไซด์ฟอร์บ (www.forbes.com) เว็บไซด์ชื่อดังของโลก ได้เผยแพร่บทความเรื่อง “Socialism or Free Markets? Consider Myanmar and Thailand” หรือ “สังคมนิยมหรือการค้าเสรี ? พิจารณาผ่าน พม่าและไทย”
โดยระบุว่า ในแง่ของภูมิศาสตร์และจำนวนประชากรแล้ว พม่าและไทยมีความใกล้เคียงกัน ในปี1960 นั้นทั้งสองประเทศมีอัตราการเจริญเติบโตของประเทศอยู่ในระดับเดียวกัน แต่ในปี 1962 นายพลเนวิน ของพม่า ได้ก่อรัฐประหาร และจัดตั้งรัฐบาลทหารขึ้นปกครองประเทศ และดำเนินนโยบายเศรษฐกิจแบบปิดประตูตัวเอง ประเทศถูกปิดลงพร้อมกับไล่ชาวอินเดียที่เข้ามาลงทุนตั้งอุตสาหกรรมค้าขายพร้อมกับชาวอังกฤษตั้งแต่หลายทศวรรษก่อน แม้ว่านายพลเนวิน จะลาออกไปตั้งแต่ปี 1988แต่รัฐบาลทหารของพม่าก็ยังควบคุมประเทศต่อมา
ในช่วงเวลาเดียวกันประเทศไทยมีประสบการณ์การถูกก่อรัฐประหารหลายครั้ง แต่ผู้นำการก่อรัฐประหารกลับเลือกลักษณะแนวทางเศรษฐกิจที่แตกต่างไป ประเทศไทยเลือกเปิดตลาดการค้าเสรี เปิดรับนักลงทุนทั้งการค้าและการเงินจากทุกประเทศ และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ชาวจีนอพยพโพ้นทะเลที่เดินทางมาหลังจากจีนถูกอังกฤษเข้ายึดครอง วันนี้ประเทศไทย เป็นประเทศที่เป็นศูนย์กลางการผลิต และอุตสาหกรรมที่คึกคักที่สุดในเอเซีย
เพราะเหตุของการปิดประตูของพม่า จึงทำให้ GDP ต่อหัว(ดอลลาร์ระหว่างประเทศในปัจจุบัน) ลดน้อยไปกว่าของประเทศไทย ในปี 1980 GDP ของพม่าดอลลาร์ต่อประชากรเท่ากับ$ 172 แต่ของประเทศไทย $ 1,060 ในปี 2012 ช่องว่างของ GDPก็ยังกว้างมากขึ้นอยู่ โดยมี GDP ต่อหัวของพม่าอยู่ที่ $ 1950 ขณะของประเทศไทยอยู่ที่$ 8,516
เดือนพฤษภาคม ปี 1997 สหรัฐฯ ประกาศคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจอย่างรุนแรงกับพม่า ต่อประเด็นละเมิดสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐาน ประกาศห้ามการทำค้าการลงทุนกับพม่า ทำให้การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศพม่า และก่อให้เกิดปัญหาต่อเนื่องอีกหลายประกาศอาทิ การขาดแคลนยารักษาโรค จนทำให้ประชากรพม่าต้องเดินทางเข้ามาชายแดนไทยเพื่อรับการรักษา โดยเขาเหล่านั้น เข้ามาและค้าขายอัญมณีหรือสิ่งของมีค่า เพื่อแลกกับการได้รับการรักษาและยาเวชภัณฑ์ที่จำเป็น ในขณะเดียวกัน รัฐบาลก็ได้อนุญาตให้ชาวจีนเข้ามาขุดหาและค้าขายของมีค่าตามที่ทางการพม่าจัดให้
อ่านต่อ...http://www.insidethaigov.com/?r=content/view&id=255