|
อย่า….ทำร้ายประเทศซ้ำซาก!! นี่เป็นความเป็นความตายของบ้านเมือง อย่านิ่งนอนใจ!! http://www.thammapiban.com/2010/12/03/อย่า-ทำร้ายประเทศซ้ำซา/#more-960
ปัญหาค่าเงินบาท จากข้อมูล (โดย มาหาอะไร http://breakingnews.nationchannel.com/read.php?newsid=385683 )
ถ้าดูจากกร๊าฟค่าเงินกับการประกาศขึ้นอัตราดอกเบี้ชยนโยบาย จะพบว่าช่วงเดือนกค และสค อัตราการแข็งค่าของค่าเงินบาทสูงขึ้นมาก ก่อนหน้านี้จะเคลื่อนไหวไม่มากมายนัก
สอดรับการมุ,ค่าการไหลเข้าของเงินตราต่างประเทศ การนำเงินเข้ามามากๆ พร้อมกัน เยอะๆ ก็เหมือนเป็นการปั่นค่าเงินให้แข็งค่าขึ้นแล้วค่อยขายคืนก็ได้กำไรส่วนต่าง ดังนั้นระวังเรื่องการเก็งกำไรค่าเงินให้ดี เพราะว่าพวกนี้ไม่รู้จะไปปั่นอะไรในช่วงนี้
เช่นความไม่แน่นอนของเสถียรภาพสถาบันการเงิน หรือหนี้เสียที่จะมากขึ้น คนตกงานมากขึ้นเป็นต้น แต่พวกกองทุนพวกนี้ต้องหาเงินตลอดเวลา ไม่มีเวลาหยุดรอให้เศรษฐกิจฟื้นถึงมาเก็งกำไรต่อ ดังนั้นงวดนี้กองทุนการเงินเหล่านี้ อาจหันกลับมาปั่นค่าเงินกันอีกรอบก็เป็นไปได้ทั้งนั้น สอดคล้องความคิดของ ดร โกร่ง วีรพงษ์ รามางกูล http://www.suthichaiyoon.com/detail/6138 “ดร.โกร่ง”ซัดหนัก ธปท.ไม่ใช้หลักวิชาการแก้เงินบาทแข็งค่า แนะใช้”ยาแรง”สกัดทุนไหลเข้า เนื่องจากมาตรการที่ออกมาเป็นแค่ “น้ำจิ้ม” แต่ต้องลดดอกเบี้ยนโยบาย 0.75% ทันที เตือนระวังเจอวิกฤติรอบ 2 เหมือนกับที่เคยเกิดวิกฤติเศรษฐกิจช่วงปี 2540 มาแล้ว
โดย ดร.โกร่ง กล่าวย้ำว่า “หาก ธปท.ยังปล่อยให้เงินบาทแข็งค่าไปอยู่เรื่อยๆ ท่ามกลางกระแสโลกที่เงินทุนจากสหรัฐ พยายามบีบคั้นให้เงินสกุลอื่นแข็งค่าขึ้น เพื่อต้องการให้เงินดอลลาร์อ่อนค่าลง ซึ่งหากยังเป็นเช่นนี้ต่อไป และเงินบาทแข็งค่าไปใกล้เคียงกับ 25 บาทต่อดอลลาร์ ก็เตรียมตัวรับมือกับวิกฤติเศรษฐกิจรอบ 2 ได้เลย”
”โดยที่ ธปท.ยังไม่ออกยาแรงนั้น ก็คงไม่สามารถยับยั้งการไหลเข้าของเงินทุนต่างชาติที่เข้ามาเก็งกำไรได้” ดร.วีรพงษ์ กล่าว
”มาตรการที่ออกมา เป็นมาตรการหลอกๆ ผมเรียกว่ามาตรการน้ำจิ้ม ไม่มีพิษ ใช้ไม่ได้ผล หยุดการไหลเข้าของเงินทุนไม่ได้ คงไม่รู้จะป้องกันอย่างไร ถ้าแบงก์ชาติยังทำตัวเป็นบัวใต้น้ำ คนไทยก็คงต้องเตรียมตัว หากเงินบาทลงไปถึง 25 บาท ก็ลงเหว ตัวใครตัวมัน” ดร.วีรพงษ์ กล่าวและว่า หากปรับนโยบายไม่ได้ หรือปรับเปลี่ยนผู้ว่าการ ธปท.ไม่ได้ ก็ควรเปลี่ยนนายกรัฐมนตรีไปเลย
เขาขนเงินเข้ามาเยอะๆ ที่จริงทยอยขนมาแล้ว พอปั่นให้ค่าเงินแข็งก็จะได้กำไรมาก หรือให้หุ้นขึ้นสูงๆ แล้ว เขาก็จะเทขายบาท ซื้อดอลลาห์ หรือ เทขายหุ้น ตอนนี้แหล่ะเงินดอลลาห์ที่ว่ามีเยอะๆ จะวูบลงอย่างรวดเร็ว จะเกิดอะไรขึ้น ก็เหมือนช่วงปี 40 นั่นไง ต้องไปขอความช่วยเหลือจาก IMF แล้วต้องเข้าโปรแกรม กินยาขมจาก IMF อีกเหมือนเดิม
“World bank หรือ IMF มีเจตนาดีอะไร หากคำแนะนำเขาดีทำไม ไม่ไปแนะนำอเมริกาให้ฟื้น และ ให้อเมริกาขึ้นดอกเบี้ยแพงๆ เราเคยเจ็บปวดจาก IMF มาแล้วครั้งหนึ่ง จำได้ไหม???
ไม่ได้คิดร้ายต่อใคร แต่ไม่อยากให้ประเทศ ฉ…..หายซ้ำซาก ขอเชิญรวมพลังขับไล่ผู้ว่าแบงค์ชาติ
การลดดอกเบี้ยนโยบาย และกำหนดมาตรการการไหลเข้าออกของเงินที่ไม่ใช่ปล่อยฟรี เก็บภาษี เงินไหลเข้าออกเพิ่มขึ้น และกำหนดระยะเวลาอยู่ในประเทศ หรือการตรวจสอบที่มาของเงิน
เงินเฟ้อ เพราะข้าวของราคาแพง มูลค่าเงินของเราลดลง แต่ เงินบาทแข็ง ส่งออกไม่ได้ ไม่มีเงินในกระเป๋า เทียบกับเงินในกระเป๋า มูลค่าลดลงเล็กน้อย จะเอาอย่างไหน ดีกว่ากัน พวกนักเศรษฐศาสตร์ ที่อ้าง เรื่องเงินเฟ้อ ขอถาม
ผลจากค่าเงินแข็งและไม่ควบคุม การคิดค่าบริการ ค่าธรรมเนียมธนาคาร เอื้อประโยชน์ใคร
๑ ธนาคารพาณิชย์ ๑๒ แห่ง กำไรสุทธิ ในเก้าเดือนแรก ( มค-กย๕๓ ) ๘๔,๙๓๗ ล้านบาท (ที่มานสพ.กรุงเทพธุรกิจ ) รายได้ส่วนใหญ่จากสินเชื่อ
๒ รายได้ค่าธรรมเนียมธนาคาร พาณิชย์ ในเก้าเดือนแรก รวม ๑๔๘,๔๐๖ ล้านบาท(ที่มานสพ.กรุงเทพธุรกิจ ) ส่วนต่างดอกเบี้ยห่างขึ้นจาก ๓.๖๖เป็น ๓.๘๗ % (ธนาคารกสิกรไทย)
๓ กลุ่มปตท กำไรจาอัตราแลกเปลี่ยน ในไตรมาส สาม (กค-กย๕๓) ๗,๔๐๐ ล้านบาท กำไรทั้งหมด ๓๘,๐๐๐ ล้าน (นำเข้า น้ำมัน เชื้อเพลิง) (ที่มา นสพ.กรุงเทพธุรกิจ )
๔ ธุรกิจส่งออกกระทบ สภาอุตสาหกรรม สูญเสียรายได้จากธุรกิจส่งออก จากอัตราแลกเปลี่ยน สองถึงสามแสนล้าน และกระทบธุรกิจส่งออก ๒๐ ธุรกิจ ( ที่มากระทรวงพาณิชย์)
๕ เกษตรกรรม ส่งออก กุ้งไก่ สัปรด และสินค้าเกษตร ๒.๒ หมื่นล้าน
๕ ประชาชนทั่วไป ยังคง จำต้องจ่ายค่าธรรมเนียมธนาคารแพง ขึ้น
ตกลงใครได้ประโยชน์
พท.พญ.กมลพรรณ ชีวพันธ์ ศรี ๒๐ ตค ๕๓ www.thammapiban.com thai9lee@gmail.com ๐๘๖๓๖๗๑๐๐๔
|
|
|
|
![]() |
|
|
คำฟ้องศาลปกครอง http://www.thammapiban.com/2010/12/03/คำฟ้องศาลปกครอง/#more-958
O คำอุทธรณ์ฉบับย่อ คดีหมายเลขดำที่ ๑๕๙๓ / ๒๕๕๓
คดีหมายเลขแดงที่ ๑๗๖๔ / ๒๕๕๓
ศาลปกครองสูงสุด
วันที่ ๒๙ เดือน พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๕๓
นายเรืองศักดิ์ เจริญผล กับพวก รวมสองคน ผู้ฟ้องคดี
ระหว่าง
คณะกรรมการนโยบายการเงิน ผู้ถูกฟ้องคดี
ข้าพเจ้า พท.พญ.กมลพรรณ์ ชีวพันธ์ศรี ผู้ฟ้องคดีและผู้รับมอบอำนาจผู้ฟ้องคดีที่ ๑
ตามที่ผู้ฟ้องคดีได้นำคดีขึ้นสู่ศาลปกครอง เมื่อวันที่ ๑๔ ตุลาคม พ.ศ.๒๕๕๓ โดยมีผู้ถูกฟ้องคดี คือ คณะกรรมการนโยบายการเงิน เป็นคดีหมายเลขดำที่ ๑๕๙๓/๒๕๕๓ และต่อมาศาลได้มีคำสั่งตามคดีหมายเลขแดงที่ ๑๗๖๔/๒๕๕๓ ลงวันที่ ๑ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๕๓ โดยศาลปกครองชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับคำฟ้องของผู้ฟ้องคดีไว้พิจารณาและให้ จำหน่ายคดี โดยแจ้งว่าผู้ฟ้องคดีไม่ใช่ผู้เสียหาย ความดังแจ้งแล้วนั้น
ผู้ฟ้องคดีไม่เห็นชอบด้วยกับคำสั่งของศาลปกครองชั้นต้นดังกล่าว เพราะผู้ฟ้องคดีมีความเดือดร้อนและเสียหายโดยชัดแจ้ง และโดยปริยาย จึงใคร่ขออุทธรณ์มายังศาลปกครองสูงสุด เพื่อได้โปรดมีคำสั่งให้ศาลปกครองชั้นต้นรับคำฟ้องของผู้ฟ้องคดีไว้พิจารณา ตามกระบวนการและอำนาจหน้าที่ต่อไป
ทั้งนี้ ผู้ฟ้องคดีมีเหตุผลทั้งข้อกฎหมาย และข้อเท็จจริง ที่ใคร่ขออรรถาธิบายต่อศาลปกครองสูงสุด ดังนี้
ข้อ ๑ ผู้ฟ้องคดีกับพวก มีความเดือดร้อนและเสียหายอันเนื่องมาจากการกระทำหรือการปฏิบัติตามอำนาจ หน้าที่ของผู้ถูกฟ้องคดี กล่าวคือ ผู้ฟ้องคดีที่ ๒ ได้เป็นลูกค้าและใช้บริการของสถาบันการเงิน ชื่อ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) สาขาทองหล่อ โดยได้เปิดบัญชีเงินฝากสะสมทรัพย์ บัญชีเลขที่ xxxx xxxx xx (ปรากฏตามสำเนาบัญชีธนาคาร เอกสารแนบหมายเลข ๑) แต่ก็ได้รับเงินเพิ่มในรูปของดอกเบี้ยของธนาคารในแต่ละปีหรือรอบบัญชีจำนวน ที่น้อยมาก (ปรากฏตามสัญลักษณ์ INT – ดอกเบี้ย) ในอัตรา ๐.๕ % ตามที่ผู้ถูกฟ้องคดีเป็นผู้ควบคุมดูแล
ในขณะเดียวกัน ผู้ฟ้องคดีที่ ๒ ได้เป็นลูกค้าและใช้บริการของสถาบันการเงิน ชื่อ ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) และได้ใช้บริหารทำบัตรเครดิต กับบริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ด้วย ซึ่งจะพบว่าในสำเนาใบแจ้งยอดการเรียกเก็บเงินนั้น มีการเรียกเก็บดอกเบี้ยและค่าธรรมเนียมอื่นแอบแฝงในอัตราที่สูงมากในแต่ละ รอบเดือนบัญชี ทั้งค่าภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT ON COLLECTION EXP), ค่าติดตามทวงถาม (COLLECTION EXP), อัตราดอกเบี้ยบัตรเครดิต ๑๕% ของยอดหนี้ (RETAIL INTEREST) และค่าธรรมเนียมการใช้วงเงินตามยอดหนี้ (CARD USAGE FEE – PURCHASE) ซึ่งผู้ฟ้องคดีและประชาชนทั่วไปที่จำเป็นต้องใช้บริการของสถาบันการเงินใน รูปแบบต่าง ๆ ดังกล่าว ไม่มีอำนาจต่อรองใด ๆ เพื่อคุ้มครองการปริวรรตเงินตราของธนาคารต่าง ๆ หรือสถาบันการเงินต่าง ๆ ได้เลย เว้นแต่ผู้ถูกฟ้องคดีจะได้ใช้อำนาจทางปกครองในการควบคุม ดูแลแทนผู้ฟ้องคดี หรือผู้บริโภค หรือประชาชนทั่วประเทศ ที่จำต้องใช้บริการของสถาบันการเงินต่าง ๆ ดังกล่าว
การที่ผู้ถูกฟ้องคดีปล่อยให้สถาบันการเงินหรือธนาคารพาณิชย์ต่าง ๆ คิดอัตราดอกเบี้ยเงินฝาก และดอกเบี้ยเงินกู้หรือบัตรเครดิต ในสัดส่วนที่ห่างหรือแตกต่างกันมากนั้น (Spread) ถือว่าเป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ทำให้สถาบันการเงินหรือธนาคารพาณิชย์ต่าง ๆ เหล่านั้นนำเงินฝากของประชาชนไปแสวงหากำไรและผลประโยชน์ในรูปเงินกู้ เงินค่าธรรมเนียมบัตรเครดิตในอัตราดอกเบี้ยและค่าธรรมเนียมอื่นที่สูงมาก แต่จ่ายตอบแทนเงินของผู้ฝากเงินเป็นค่าดอกเบี้ยเงินฝากในอัตราที่ต่ำมาก ในขณะที่ผู้ถูกฟ้องคดีมีอำนาจตามกฎหมาย ตามพระราชบัญญัติธนาคารแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ๔) พ.ศ.๒๕๕๑ มาตรา ๑๗ (๒) และมีหน้าที่ตามมาตรา ๒๘/๗ คือ (๑)กำหนดเป้าหมายของนโยบายการเงินของประเทศ โดยคำนึงถึงแนวนโยบายแห่งรัฐ สภาวะทางเศรษฐกิจและการเงินของประเทศ (๒) กำหนดนโยบายการบริหารจัดการอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราภายใต้ระบบการแลกเปลี่ยน เงินตราตามกฎหมายว่าด้วยเงินตรา (๓) กำหนดมาตรการที่จำเป็นเพื่อให้สอดคล้องกับเป้าหมายและนโยบายตาม (๑) และ (๒) และ (๔) ติดตามการดำเนินมาตรการของ ธปท. ตาม (๓) ให้เป็นไปอย่างถูกต้องและมีประสิทธิภาพ ซึ่งผู้ถูกฟ้องคดีพึงต้องรักษาผลประโยชน์ของประชาชนเป็นที่ตั้ง เพราะกินเงินเดือนจากภาษีของประชาชนทั้งประเทศ แต่การกลับกันผู้ถูกฟ้องคดีกลับที่จะเอื้อประโยชน์ให้กับสถาบันการเงินหรือ ธนาคารพาณิชย์ต่าง ๆ โดยการประกาศขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย เมื่อวันที่ ๑๔กรกฎาคม พ.ศ.๒๕๕๓ และและ เมื่อวันที่ ๒๕ สิงหาคม พ.ศ.๒๕๕๓ รวมเป็น๑.๗๕% โดยมิได้กำหนดควบคุมการคิดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้และฝากของธนาคาร ให้เป็นธรรมแก่ประชาชน ซึ่งทำให้สถาบันการเงินหรือธนาคารพาณิชย์ต่าง ๆ ได้ประโยชน์อย่างมหาศาล ความแตกต่างหรือความห่างระหว่างอัตราดอกเบี้ยเงินฝาก และอัตราดอกเบี้ยเงินกู้และค่าธรรมเนียมอื่น ๆ ตามมาอีกมากมายทันที
นอกจากนั้นเมื่อพิจารณาเปรียบเทียบจากการดำเนินนโยบายการเงินของต่าง ประเทศ เช่น สหรัฐอเมริกา โดย ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ยังคงอัตราดอกเบี้ยเงินกู้นโยบาย อยู่ที่ อัตรา ๐.๒๕% ไม่ขึ้นดอกเบี้ยประเภทนี้เพราะจะเป็นการเพิ่มต้นทุนการดำเนินงานของธุรกิจและผู้บริโภค
|
|
|
|
![]() |
|
|
ข้อ ๒ ศาลที่เคารพ ผู้ฟ้องคดีที่ ๒ เป็น“สมาชิกสภาพัฒนาการเมือง” ตามพระราชบัญญัติสภาพัฒนาการเมือง พ.ศ.๒๕๕๑ (ปรากฏตามหนังสือแต่งตั้งสมาชิกสภาพัฒนาการเมือง เอกสารแนบ ๓) ซึ่งมีอำนาจหน้าที่ ตามมาตรา ๕ และมาตรา ๖ คือ
มาตรา ๕ ให้มีสภาพัฒนาการเมือง มีวัตถุประสงค์ในการพัฒนาการเมืองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรง เป็นประมุขและส่งเสริมการพัฒนาคุณธรรมและจริยธรรม ของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองและเจ้าหน้าที่ของรัฐ
มาตรา ๖ เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ตามมาตรา ๕ ให้สภาพัฒนาการเมืองมีอำนาจหน้าที่ ดังต่อไปนี้(๔)ง) ส่งเสริมและให้ความช่วยเหลือประชาชน ชุมชน และองค์กรภาคประชาสังคมให้สามารถใช้สิทธิตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ ทั้งในการรับทราบและเข้าถึงข้อมูลข่าวสาร การมีส่วนร่วมในการกำหนดนโยบาย การวางแผนด้านต่าง ๆ ทั้งระดับชาติและท้องถิ่น การตัดสินใจทางการเมือง การจัดทำบริการสาธารณะและการตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐ
ดังนั้น ผู้ฟ้องคดีที่ ๒ นอกจากจะเป็นผู้ที่เดือดร้อนหรือเสียหาย หรืออาจจะเดือดร้อนหรือเสียหายโดยตางจากการกระทำของผู้ถูกฟ้องคดีแล้ว การที่ผู้ฟ้องคดีที่ ๒ เป็นสมาชิกสภาพัฒนาการเมือง และต้องปฏิบัติหน้าที่ตามอำนาจหน้าที่ตามที่กฎหมายพระราชบัญญัติสภาพัฒนาการ เมือง พ.ศ.๒๕๕๑ บัญญัติ จึงเป็นหน้าที่โดยชอบด้วยกฎหมายของผู้ฟ้องคดีที่จะต้องทำหน้าที่ในการติดตาม สอดส่อง และตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐ อีกประการหนึ่งด้วย
ข้อ ๓ ศาลที่เคารพ การที่ผู้ฟ้องคดีนำคดีนี้ขึ้นฟ้องร้องต่อศาลปกครอง ก็เพราะผู้ฟ้องคดีเดือดร้อนและเสียหาย และเพื่อที่จะปกป้องและรักษาสิทธิของตนเองและประชาชนอื่น ๆ ทั้งประเทศ ตามสิทธิและหน้าที่ที่รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. ๒๕๕๐ กำหนดและให้การคุ้มครองไว้ โดยเฉพาะมาตรา ๖๐ ที่บัญญัติไว้ชัดเจนว่า “บุคคล ย่อมมีสิทธิที่จะฟ้องหน่วย ราชการ หน่วยงานของรัฐ หรือองค์กรอื่นของรัฐที่เป็นนิติบุคคล ให้รับผิดเนื่องจากการกระทำหรือการละเว้นการกระทำของข้าราชการ พนักงาน หรือลูกจ้างของหน่วยงานนั้น” ได้ รวมทั้งมาตรา ๗๑ บัญญัติให้ “บุคคลมีหน้าที่ป้องกันประเทศ รักษาผลประโยชน์ของชาติ และปฏิบัติตามกฎหมาย” และมาตรา ๗๔ บัญญัติว่า “บุคคลผู้ เป็นข้าราชการ พนักงาน ลูกจ้างของหน่วยราชการหน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ หรือเจ้าหน้าที่อื่นของรัฐ มีหน้าที่ดำเนินการให้เป็นไปตามกฎหมายเพื่อรักษาประโยชน์ส่วนรวม อำนวยความสะดวก และให้บริการแก่ประชาชนตามหลักธรรมาภิบาลของการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี
นอกจากนั้น รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. ๒๕๕๐ ยังกำหนดในมาตรา ๒๒๓ กำหนดให้ “ศาลปกครองมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีพิพาทระหว่างหน่วยราชการ หน่วยงานของรัฐ หรือองค์กรตามรัฐธรรมนูญ หรือเจ้าหน้าที่ของรัฐกับเอกชน หรือเจ้าหน้าที่ของรัฐด้วยกัน อันเนื่องมาจากการใช้อำนาจทางปกครองตามกฎหมาย หรือเนื่องมาจากการดำเนินกิจการทางปกครองของหน่วยราชการ หน่วยงานของรัฐ หรือเจ้าหน้าที่ของรัฐ ทั้งนี้ ตามที่กฎหมายบัญญัติ รวมทั้งมีอำนาจพิจารณาพิพากษาเรื่องที่รัฐธรรมนูญหรือกฎหมายบัญญัติ ให้อยู่ในอำนาจของศาลปกครอง…” และในพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๓ ก็กำหนดไว้ชัดเจนแล้วว้า “หน่วยงานทางปกครอง” หมายความว่า กระทรวง ทบวง กรม ส่วนราชการที่เรียกชื่ออย่างอื่น และมีฐานะเป็นกรม ราชการส่วนภูมิภาค ราชการส่วนท้องถิ่น รัฐวิสาหกิจที่ตั้ง ขึ้นโดยพระราชบัญญัติหรือพระราชกฤษฎีกา หรือหน่วยงานอื่นของรัฐ และให้หมายความรวมถึงหน่วยงานที่ได้รับมอบหมายให้ใช้อำนาจทางปกครองหรือให้ดำเนินกิจการทางปกครอง และหรือ “เจ้าหน้าที่ของรัฐ” หมายความว่า
(๑) ข้าราชการ พนักงาน ลูกจ้าง คณะบุคคล หรือผู้ที่ปฏิบัติงานในหน่วยงานทางปกครอง
(๒) คณะกรรมการวินิจฉัยข้อพิพาท คณะกรรมการหรือบุคคลซึ่งมีกฎหมายให้อำนาจในการออกกฎ คำสั่ง หรือมติใด ๆ ที่มีผลกระทบต่อบุคคล และ
(๓) บุคคลที่อยู่ในบังคับบัญชาหรือในกำกับดูแลของหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐตาม (๑) หรือ (๒)
ผู้ฟ้องคดี เป็นประชาชนคนไทย ถือบัตรประชาชนไทย มีสิทธิและ หน้าที่ปกป้องรักษาผลประโยชน์ของชาติ และปฏิบัติตามกฎหมาย รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. ๒๕๕๐ ย่อมได้รับความคุ้มครอง ตามมาตรา ๓ มาตรา ๕ และมาตรา ๖ รัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศ บทบัญญัติใดของกฎหมาย กฎ หรือข้อบังคับ ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญนี้ บทบัญญัตินั้นเป็นอันใช้บังคับมิได้
ผู้ฟ้องคดีนอกจากจะเป็นผู้เดือดร้อนหรือเสียหายโดยตรงแล้ว ผู้ฟ้องคดียังมีตำแหน่งหน้าที่ทางสาธารณะตามกฎหมาย จึงย่อมที่จะต้องปฏิบัติหน้าที่ตามที่กฎหมายบัญญัติหรือกำหนดอำนาจหน้าที่ ไว้ เมื่อพบเห็นหรือเล็งเห็นผลชัดเจนแล้วว่าการกระทำของผู้ถูกฟ้องคดีนั้นจะทำ ให้ประเทศชาติและประชาชนเสียหายอย่างมหาศาลตามมามากมาย ทั้งทางเศรษฐกิจ สังคม และการเมือง มีผลกระทบเป็นลูกโซ่ เป็นวงกว้าง จึงต้องใช้สิทธิและหน้าที่ตามที่รัฐธรรมนูญและกฎหมายอื่นกำหนดไว้ เพื่อปกป้องผลประโยชน์สาธารณะ เพราะประชาชนผู้เสียหายโดทั่วไปอาจจะไม่กล้าที่จะฟ้องหน่วยงานรัฐ เพราะเกรงผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจ หรือ ส่วนบุคคลของตนเอง การที่รัฐธรรมนูญบัญญัติให้ประชาชนทุกคนสามารถที่จะฟ้องหน่วยงานรัฐเพื่อทำ หน้าที่ปกป้องผลประโยชน์ชาติ ซึ่งได้ตราไว้ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. ๒๕๕๐ มาตรา ๖๐ มาตรา ๗๑ และมาตรา ๗๔ จึงเป็นสิ่งที่ศาลปกครอง และหรือผู้มีอำนาจตามกฎหมาย หรือผู้ที่ผดุงไว้ซึ่งความยุติธรรม ควรที่จะใช้ดุลยพินิจในทางสนับสนุนเพื่อให้ประชาชนทุกคนมีกำลังใจในการ ปฏิบัติหน้าที่ และภารกิจในการปกป้องผลประโยชน์ชาติ
ประชาชนทุกคนที่ทำนิติกรรมกับสถาบันทางการเงินหรือธนาคารพาณิชย์ ย่อมมีสิทธิเป็นผู้เสียหาย ตามนัยยะของรัฐธรรมนูญมาตรา ๓ วรรคสอง มาตรา ๕ มาตรา ๖ ประกอบมาตรา ๖๐ มาตรา ๗๑ และมาตรา ๗๔ และชอบที่จะนำคดีมาฟ้องร้องต่อศาลตามสิทธิในกระบวนการยุติธรรม ตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ ๒๕๕๐ มาตรา ๔๐ ที่บัญญัติว่า บุคคลย่อมมีสิทธิในกระบวนการยุติธรรม ดังต่อไปนี้
(๑) สิทธิเข้าถึงกระบวนการยุติธรรมได้โดยง่าย สะดวก รวดเร็ว และทั่วถึง
(๒) สิทธิพื้นฐานในกระบวนพิจารณา ซึ่งอย่างน้อยต้องมีหลักประกันขั้นพื้นฐาน เรื่อง การได้รับการพิจารณาโดยเปิดเผย การได้รับทราบข้อเท็จจริงและตรวจเอกสารอย่างเพียงพอ การเสนอข้อเท็จจริง ข้อโต้แย้ง และพยานหลักฐานของตน การคัดค้านผู้พิพากษาหรือตุลาการ การได้รับการพิจาณาโดยผู้พิพากษาหรือตุลาการที่นั่งพิจาณาคดีครบองค์คณะ และการได้รับทราบเหตุผลประกอบคำวินิจฉัย คำพิพากษา หรือคำสั่ง
(๓) บุคคลย่อมมีสิทธิที่จะให้คดีของตนได้รับการพิจารณาอย่างถูกต้อง รวดเร็วและเป็นธรรม
(๔) ผู้เสียหาย ผู้ต้องหา โจทก์ จำเลย คู่กรณี ผู้มีส่วนได้เสีย หรือพยานในคดีมีสิทธิได้รับการปฏิบัติที่เหมาะสมในการดำเนินการตามกระบวนการ ยุติธรรม รวมทั้งสิทธิในการได้รับการสอบสวนอย่างถูกต้อง รวดเร็ว เป็นธรรม และการไม่ให้ถ้อยคำเป็นปฏิปักษ์ต่อตนเอง
…. ฯลฯ
|
|
|
|
![]() |
|
|
นอกจากนั้นรัฐธรรมนูญ ๒๕๕๐ มาตรา ๘๑ ยังได้บัญญัติว่า “รัฐต้องดำเนินการตามแนวนโยบายด้านกฎหมายและการยุติธรรม ดังต่อไปนี้
(๑) ดูแลให้มีการปฏิบัติและบังคับการให้เป็นไปตามกฎหมายอย่างถูกต้อง รวดเร็วเป็นธรรม และทั่วถึง ส่งเสริมการให้ความช่วยเหลือและให้ความรู้ทางกฎหมายแก่ประชาชน และจัดระบบงานราชการและงานของรัฐอย่างอื่นในกระบวนการยุติธรรมให้มี ประสิทธิภาพ โดยให้ประชาชนและองค์กรวิชาชีพมีส่วนร่วมในกระบวนการยุติธรรม และการช่วยเหลือประชาชนทางกฎหมาย
(๒) คุ้มครองสิทธิและเสรีภาพของบุคคลให้พ้นจากการล่วงละเมิด ทั้งโดยเจ้าหน้าที่ของรัฐและโดยบุคคลอื่น และต้องอำนวยความยุติธรรมแก่ประชาชนอย่างเท่าเทียมกัน
(๓) จัดให้มีกฎหมายเพื่อจัดตั้งองค์กรเพื่อการปฏิรูปกฎหมายที่ดำเนินการเป็น อิสระเพื่อปรับปรุงและพัฒนากฎหมายของประเทศ รวมทั้งการปรับปรุงกฎหมายให้เป็นไปตามรัฐธรรมนูญโดยต้องรับฟังความคิดเห็น ของผู้ที่ได้รับผลกระทบจากกฎหมายนั้นประกอบด้วย
ผู้ถูกฟ้องคดี ได้กระทำการหรือละเว้นในการปฎิบัติหน้าที่ที่ไม่เป็นไปตามหลักนิติธรรม การปฏิบัติหน้าที่โดยการออกระกาศมติดังกล่าว ทำให้ผู้ฟ้องคดีเดือดร้อนหรือเสียหายที่ได้รับผลกระทบจากการปฏิบัติของผู้ ถูกฟ้องคดี เพราะได้ทำให้ประชาชนโดยทั่วไปทั้งประเทศที่ได้ทำนิติกรรมกับสถาบันทางการ เงินหรือธนาคารพาณิชย์ เสียหายหรือได้รับผลกระทบ เพราะผลจากการออกกฎหรือคำสั่งตามประกาศของผู้ถูกฟ้องคดี ซึ่งเป็นการเอื้อประโยชน์ให้กับธนาคาร สถาบันทางการเงินหรือธนาคาร พาณิชย์ ทำให้มีกำไรสุทธิทั้งหมดในเก้าเดือนแรก ๘๔,๙๓๗ ล้านบาท เพิ่มมากขึ้นเกือบ ๒๕% (กำไรเพิ่มขึ้น ๑๗,๐๑๓ ล้านบาท) เทียบกับปีที่ผ่านมาในปี พ.ศ.๒๕๕๒ ของช่วงเวลาเดียวกัน แต่ในฝากของประชาชนผู้ฝากเงินและใช้บริการทางการเงินหรือผู้กู้เงินหรือใช้ บัตรเครดิตนั้น เกิดความเดือดร้อนกันถ้วนหน้า มีการไหลเข้าของเงินตราต่างประเทศในช่วงสามเดือนที่สาม( ไตรมาสสามคือกค-กย ๕๓ )จำนวน เกือบแสนล้านบาท ทำให้ค่าเงินบาทแข็งตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว มีผลกระทบเป็นลูกโซ่ เป็นวงกว้าง ทั้งทางเศรษฐกิจ สังคม และการเมือง ทำให้ขายผลิตผลหรือสินค้าเกษตร อุตสาหกรรม และบริการ ได้มูลค่าลดลง ต้องจ่ายค่าธรรมเนียมธนาคาร และดอกเบี้ยเงินกู้ที่สูงเพิ่มมากขึ้น อันมีผลมาจากการออกประกาศดังกล่าวของผู้ถูกฟ้องคดีที่ใช้อำนาจใช้ดุลพินิจ โดยมิชอบ คือ ไม่ปรับลดดอกเบี้ยนโยบาย ไม่ศึกษาต้นเหตุเงินเฟ้อที่ถูกต้องเที่ยงธรรม ไม่ควบคุม การค้ากำไรเกินควรของธนาคาร และบริษัทนำเข้าสินค้าสาธารณะ เช่น สินค้าพลังงานที่เป็นต้นทุนของสินค้า ทุกชนิดเสียก่อนอย่างรอบด้าน และฟังเสียงสาธารณะหรือเปิดโอกาสให้ประชาชนหรือผู้มีส่วนได้เสียให้ข้อเสนอ แนะหรือความเห็นตามบทบัญญัติของกฎหมายที่เกี่ยวข้องเสียก่อน
อีกประการหนึ่ง ธนาคารแห่งประเทศไทยเป็นหน่วยงานทางปกครองของรัฐ เป็นนิติบุคคล ตามมาตรา ๕ แห่งพระราชบัญญัติธนาคารแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ๔) พ.ศ.๒๕๕๑ หรือ ธปท. ที่บัญญัติให้ ธปท. เป็นนิติบุคคล มีฐานะเป็นหน่วยงานของรัฐ ฯ ดังนั้น เมื่อหน่วยงานรัฐ ปฏิบัติหน้าที่โดยไม่ได้ยึดหลักนิติธรรม ตามรัฐธรรมนูญมาตรา ๓ วรรคสอง และกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้อง จนสร้างความเสียหายต่อแผ่นดินอย่างมากและเอื้อประโยชน์ธนาคารต่างๆ ซึ่งผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย คนปัจจุบัน คือนายประสาร ไตรรัตน์วรกุล ในฐานะ ประธานกรรมการของผู้ถูกฟ้องคดี ซึ่งเคยปฏิบัติงานในหน่วยงานในสถาบันการเงินหรือธนาคารพาณิชย์ของเอกชนมา ก่อน (ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน)ตำแหน่ง กรรมการผู้จัดการ) จึงอาจจะเอื้อประโยชน์ต่อธนาคารพาณิชย์ของเอกชนมากกว่าผลประโยชน์ของ ประชาชนและประเทศชาติ เพราะส่วนต่างของดอกเบี้ย ระหว่างเงินกู้และฝากเพิ่มมากขึ้นหรือห่างขึ้น แต่ผลกลับไปสร้างความเดือดร้อน และเบียดเบียนแก่ประชาชนที่หาเช้ากินค่ำด้วยความสุจริต โดยเฉพาะผู้กู้เงิน ผู้ใช้บริการธนาคารต่างๆ แต่กลับไปสร้างกำไรจำนวนมหาศาลให้กับสถาบันการเงินหรือธนาคารพาณิชย์ทุก แห่ง ที่มีผลประกอบการ กำไรสุทธิ เป็น ๘๔,๙๓๗ ล้านบาท ในช่วงเก้าเดือน (ม.ค.-ก.ย. ปี ๒๕๕๓) ที่ผ่านมา โดยสามารถทำกำไรเพิ่มขึ้น ๒๕% (๑๗,๐๑๓ล้านบาท) ซึ่งกำไรส่วนใหญ่มาจาก ดอกเบี้ยมากกว่า ค่าธรรมเนียมธนาคาร ซึ่งเป็นการสร้าง ความเหลื่อมล้ำและความไม่เป็นธรรมแก่สังคมประเทศไทยมากยิ่งขึ้น และหากปล่อยให้คำสั่งทางปกครองดังกล่าวบังคับใช้เนิ่นนานออกไป ผลกระทบของค่าเงินบาทที่แข็งตัวมากและเร็วผิดปกติ จะแสดงผลปรากฏชัดเจนมากขึ้นในกาลภายหน้า ซึ่งจะส่งผลกระทบธุรกิจส่งออกที่สำคัญต่าง ๆ ของประชาชนโดยเฉพาะภาคธุรกิจส่งออก ที่เป็นรายได้ถึง๗๐ % ของประเทศ
การอ้างประกาศขึ้นดอกเบี้ยดังกล่าวเพื่อป้องกันเงินเฟ้อ หาใช่เป็นไปดังคำอ้างไม่แท้ ที่จริงแล้ว การเกิดเงินเฟ้อบางส่วน เนื่องจากการไม่ควบคุมต้นทุน และการกำกับดูแลจากหน่วยงานของรัฐอย่างเข้มงวดต่างหาก เช่น บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) กำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน ในช่วงสามเดือน ก.ค.-ก.ย. ปี พ.ศ.๒๕๕๓ มีมากถึงจำนวน ๗,๔๐๐ ล้านบาท สร้างผลกำไรให้กับกลุ่ม ปตท. ขึ้นมาทันทีอย่างมหาศาล ๓๘,๐๐๐ ล้านบาท (ปรากฏ ตามเอกสารแนบ ๔) แต่ทว่าเกิดผลกระทบต่อประชาชน ซึ่งไม่ได้ประโยชน์อะไรเลย จากจากการแข็งตัวของค่าเงินบาท ทั้งๆที่ประชาชนควรได้ใช้น้ำมันในราคาที่ถูกลง
ดังนั้นผู้ถูกฟ้องคดี เห็นว่าผู้ถูกฟ้องคดีปฏิบัติหน้าที่ไม่เป็นไปตามหลักนิติธรรม ใช้อำนาจทางปกครองไปโดยมิชอบด้วยกฎหมาย ไม่ถูกต้องและไม่เป็นธรรม โดยไม่ยกเลิกการขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย ไม่ควบคุมการเก็งกำไรของเงินตราต่างประเทศ ไม่ควบคุมการเก็บค่าธรรมเนียมของธนาคาร ไม่คำนึงถึงผลกระทบต่อประชาชนในวงกว้าง ไม่รับฟังความคิดเห็นผู้ที่มีส่วนได้เสีย ไม่วิเคราะห์วิจัยอย่างรอบคอบก่อนที่จะออกประกาศหรือคำสั่งหรือกฎใด ๆ ที่อาจจะมีผลกระทบแก่สาธารณะหรือประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศ ไม่เปิดโอกาสให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในการออกกฎหรือคำสั่งหรือประกาศดัง กล่าว ตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการสร้างระบบบริหารกิจการบ้านเมืองและ สังคมที่ดี พ.ศ.๒๕๔๒ และพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี พ.ศ.๒๕๔๖ ทำให้ผู้ฟ้องคดี ประชาชนและประเทศชาติ เสียหาย
เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม และประโยชน์สาธารณะ ขอศาลปกครองสูงสุดได้โปรดกลับหรือมีคำสั่งให้ศาลปกครองชั้นต้น ให้รับคำฟ้องของผู้ฟ้องคดีไว้เพื่อพิจารณาในประเด็นแห่งการพิพาท เพื่อมีคำสั่งหรือคำพิพากษาตามคำขอของผู้ฟ้องคดีต่อไป
ควรมิควรแล้วแต่จะโปรด
(พท.พญ.กมลพรรณ์ ชีวพันธ์ศรี )
ผู้ฟ้องคดีที่ ๒ และผู้รับมอบอำนาจผู้ฟ้องคดีที่ ๑++
|
|
|
|
![]() |
|
|
หนังสือถวายฎีกา http://www.thammapiban.com/2010/11/15/หนังสือถวายฎีกา/#more-946
วันที่ ๑๑ พฤษจิกายน ๒๕๕๓
กราบเรียน ท่าน ราชเลขาธิการประจำสำนักราชเลขาธิการ
สำเนา สื่อมวลชนทุกท่าน
ข้าพเจ้าพท.พญ.กมลพรรณ ชีวพันธ์ศรี และเพื่อนๆประชาชนชาวไทย ที่มีรายชื่อด้านล่างนี้ ขอยื่นถวายฎีกา ในเรื่องการปฏิบัติหน้าที่บริหารแผ่นดินของรัฐบาล และผู้ว่าธนาคารแห่งประเทศไทย เนื่องจากจะเกิดปัญหาอันใหญ่หลวงตามมาในไม่ช้า จากการติดตามการแก้ไขปัญหาบ้านเมืองดังต่อไปนี้
ก. ด้านเศรษฐกิจการเงิน ของ คณะกรรมการนโยบายการเงิน(กนง.) ประกาศขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย สองครั้งคือเดือน๑๔ ก.ค. และ๒๕ส.ค ๕๓ โดยอ้างเรื่องเงินเฟ้อ (คือของแพงขึ้น) แต่ไม่ได้ดูไปที่ต้นเหตุที่แท้จริง หรือไม่ได้กำกับควบคุมราคาสินค้า ตามต้นทุนที่แท้จริง เช่นปล่อยให้ราคาน้ำมันเเพงขึ้น ๑๗% ทั้งที่ราคาน้ำมันตลาดโลกไม่ได้แพงขึ้น๓-๔% ไม่ได้ปฎิบัติตามรัฐธรรมนูญมาตรา ๓ (หลักนิติธรรม) และมาตรา ๕๗ ๕๘ ในการประกาศนโยบาย การขึ้นอัตราดอกเบี้ย โดย ไม่ได้รับฟังความคิดเห็น ของประชาชน ไม่ได้ศึกษาวิเคราะห์ อย่างรอบคอบ ตาม พระราชกฤษฎีกาว่าด้วยหลักเกณฑ์ และวิธีการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดีพ.ศ. ๒๕๔๖ มาตรา๘ (๓) ไม่ได้กำกับควบคุมการค่าธรรมเนียม การบริการ และการกำหนดอัตราดอกเบี้ยของธนาคาร กลับปรากฎว่า
การประกาศขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย ในวันที่๑๔กค ๒๕๕๓ และ๒๕สิงหาคม ๒๕๕๓ ทำให้ค่าเงินแข็งขึ้น ชัดเจนและรวดเร็ว ( (จากกร๊าฟค่าเงินบาทเอกสารแนบ ๑ )
ส่งผลผลกระทบ (http://t.co/BdaPlHE)
- คนฝากเงินรับดอกเบี้ยฝากต่ำ คนกู้เงินจ่ายดอกเบี้ยเงินกู้สูง ประชาชนแบกรับภาระทั้งหมด ทั้งขึ้นทั้งล่อง
- ผู้นำเข้ามีกำไรจากการที่ค่าเงินบาทแข็งค่า แต่ไม่ได้ลดราคา เช่นน้ำมัน สินค้าแบรนด์เนม ปุ๋ยเคมีภัณฑ์ ตามข่าวปรากฎตามสื่อต่างๆ
- ผู้ส่งออกขาดทุนจากการที่ค่าเงินบาทแข็งค่า ขาดทุนอัตราแลกเปลี่ยน
- กระทบเกษตรกร หรือผู้ผลิตสินค้าที่ใช้วัตถุดิบในประเทศ เพื่อการส่งออก
- เงินไหลเข้ามากขึ้น ในช่วงสามเดือนที่ ผ่านมา เกือบแสนล้านยิ่งส่งเสริมให้ ค่าเงินแข็งค่ามากขึ้น และกระทบต่อ ภาคธุรกิจส่งออกอย่างกว้างขวาง
สรุปผลกระทบ จากเงินบาทแข็ง คือ
๑ ธุรกิจส่งออก ทั้งภาคอุตสาหกรรม และเกษตรกรรม เอกสารแนบ ๒ เช่น
๑.๑ ภาคอุตสาหกรรม สูญเสียรายได้จากการขายสินค้าส่งออกกว่า สามแสนล้านบาท จากการเปิดเผยของ นายสมมาต ขุนเศษฐ เลขาธิการสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ผลกระทบต่อ กลุ่มอุตสาหกรรมรองเท้า เสื้อผ้า อัญมณีและเครื่องประดับ เยื่อและกระดาษ อาหารสำเร็จรูป และเกษตรแปรรูป เอกสารแนบ…..
๑.๒ ธุรกิจ ส่งออก สินค้าเกษตร กุ้ง ไก่ สัปรด รายได้ลดลง ๒.๒ หมื่นล้านบาท เอกสารแนบ…
๑.๓ ธุรกิจ ส่งออก จากกระทรวงพาณิชย์แจ้งว่า สูญเสียแสนกว่าล้าน
๑.๔ ธุรกิจที่ได้รับผลกระทบ ๒๐ อุตสาหกรรม
ที่น่าห่วงใยคือ ผลประกอบการของนักธุรกิจ เริ่มกำไรหดหาย กำไรหด ๕๐% แล้ว ตั้งแต่ต้นปี สุดท้าย อาจจะอยู่ไม่ได้ ธุรกิจล้ม
ที่สำคัญหากปล่อยให้ค่าเงินบาทแข็งไปเรื่อยๆโดยไม่มีมาตรการป้องกัน ค่าเงิน และการไหลเข้าออกของเงินตราต่างประเทศ อาจจะแข็งมากจนธุรกิจส่งออกอยู่ไม่ได้ รวมทั้งหากปล่อยให้เงินไหล
เข้ามามากๆหากต่างชาติเขาต้องการโจมตีค่าเงิน หรือเทขายจำนวนมาก จะทำให้ค่าเงินตกลงมาก สุดท้ายอาจจะเกิดเหตุการณ์เหมือนปี ๒๕๔๐
จากกร๊าฟ จะเห็นว่า ค่าเงินบาทแข็งตัวเพิ่มขึ้นชัดเจน เมื่อธนาคารแห่งประเทศไทยประกาศขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย กค-สค ๕๓ จาก ๓๒.๒๕ ลงมาเหลือ ๒๙-๓๐บาทต่อดอลล่าร์
๒ ผลดีของการที่ค่าเงินแข็งตัว คือ กลุ่มธนาคารได้รับอานิสงค์เช่น เอกสารแนบ ๓
๒.๑ ธุรกิจธนาคาร กำไร เพิ่มขึ้น เป็นพันล้าน หมื่นล้าน ตามเอกสารแนบ
๒.๒ ผู้นำเข้าเช่นน้ำมัน สินค้าแบรนด์เนม แต่น้ำมันไม่ได้ลดราคาลง กลับแพงขึ้น ๑๗% (ที่มา กระทรวงพาณิชย์ เอกสารแนบ..๔…… )
ซึ่งคณะกรรมการนโยบายการเงินเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ และมีคุณประสาร ไตรรัตน์วรกุล มาจากธนาคารกสิกรไทย ส่วนเจ้าของธนาคารบางแห่ง มี นามสกุลเดียวกับคนในพรรคการเมืองบางพรรค ผลประโยชน์ทับซ้อนหรือไม่ สัดส่วนความแตกต่างระหว่างดอกเบี้ยเงินฝากกับ
เงินกู้ต่างกัน ๕-๖% โดยที่ธนาคารแห่งประเทศไทย โดยคณะกรรมการนโยบายการเงิน มิได้ควบคุมอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ ทำให้ธนาคาร(เอกชน)กำไรจากส่วนต่างดอกเบี้ยสูง และ
มีผลประกอบการของธนาคารเอกชนที่กำไรจากการบริหารและส่วนต่างของดอกเบี้ย มากมาย เช่น
๒.๓ แบงก์กสิกรไทยเผยผลการดำเนินงานไตรมาส ๒ กำไรพุ่ง ๔.๗ พันล้านบาท ฟันส่วนต่างดอกเบี้ยเพิ่มจาก ๓.๖๖ % เป็น ๓.๗๘%
๒.๔ ธนาคารอื่นๆพากันกำไรถ้วนหน้า เอกสารแนบ. ตั้งแต่ ๕๐๐ล้าน(เกีรยตินาคิน)ถึง ๑๙,๐๐๐ล้าน(ธนาคารกรุงเทพฯ ) เทียบกับช่วงเดียวกันของปี ๒๕๕๒ ยกเว้นธนาคารเดียวที่กำไรเพิ่ม๗ล้าน (ICBC)
๒.๕ จากบทความคุณสุทธิพันธ์ ภู่ระหงษ์ในกรุงเทพธุรกิจ วันที่๒๖ตค.๕๓ กล่าวว่า ธนาคารพาณิชย์ ๑๒แห่งมีผลประกอบการกำไรในไตรมาส สาม ทั้งหมด ๓๐,๔๔๓ ล้าน เพิ่มขึ้น ๕,๐๐๐ ล้าน จากปีที่แล้ว ในช่วงเก้าเดือนกำไร ๘๔,๙๓๗ ล้าน รายได้หลักมาจากการปล่อยสินเชื่อ คืออัตราส่วนต่างระหว่างดอกเบี้ยเงินกู้และฝาก ซึ่งห่างประมาณ ๖%ส่วนอัตราส่วนต่างสุทธฺอยู่ที่ ๓_๔% ทั้งๆที่ ของ ต่างประเทศอยู่ที่๑%
การประกาศนโยบายดังกล่าว ยังทำให้ ต่างชาติ ขนเงินเข้าประเทศทั้งจาก การซื้อขายหุ้นการเก็งค่าเงินบาท การเก็งกำไรดอกเบี้ย ลงทุน ในตลาดตราสารหนี้ เงินต่างประเทศเข้าสู่ไทยมากขึ้นภายในสามเดือน (กค.+สค.+ กย.๕๓)เกือบหนึ่งแสนล้าน (๒๑,๐๙๗+ ๒๗,๓๔๔+๔๔,๔๓๘ = ๙๒,๘๗๙ ล้านบาท ) ซึ่งมากกว่าที่เข้าสู่ตลาดหุ้น แสดงให้เห็นว่า ค่าเงินบาทที่แข็งค่า ส่วนหนึ่ง เพราะเงินไหลเข้ามานั้นมาเก็งกำไรดอกเบี้ย จากตราสารหนี้ และอื่นๆ สอดรับกับ ข้อคิดเห็นของ ดร .วีรพงษ์ รามางกูร อดีตรัฐมนตรี คลัง ที่เขียนบทความในประชาชาติธุรกิจออนไลน์ ว่า ค่าเงินบาทแข็งเร็วเกินไป โดยกล่าวว่า ค่าเงินบาทที่แข็งขึ้นย่อมมีผลกระทบ ต่อการส่งออก
|
|
|
|
![]() |
|
|
สาเหตุสำคัญที่เงินบาทแข็งเร็วมากผิดปกติ ส่วนหนึ่งและเป็นส่วนสำคัญก็เพราะ ธปท.ประกาศขึ้นดอกเบี้ย แถมยังประกาศล่วงหน้าว่าจะขึ้นไปเรื่อย ๆ จนถึงปลายปี
ขณะเดียวกันเจ้าของเงินดอลลาร์คือสหรัฐอเมริกาประกาศตรึงดอกเบี้ยไว้ (0-0.๒๕%) ไม่ขึ้นดอกเบี้ย จึงเป็นเหตุให้ผลต่างระหว่างดอกเบี้ยเงินบาท กับเงินดอลลาร์ถ่างมากขึ้น ผลตอบแทนต่อเงินบาทสูงขึ้นเมื่อเทียบกับผลตอบแทนต่อการถือเงินดอลลาร์ ฝรั่งจึงขนเงินดอลลาร์มาแตกเป็นเงินบาท แล้วนำมาลงทุนในตลาดพันธบัตร ตลาดหุ้น
ฝรั่งนำเงินเข้ามาซื้อ ราคาหุ้นก็ขึ้น ค่าเงินบาทก็แข็งขึ้น เวลาขึ้นเขาก็ขายได้กำไร ได้กำไรไปแล้วก็ไม่ต้องเอาออก ฝากธนาคารในเมืองไทยก็ได้ดอกเบี้ยมากกว่าเมืองนอก
เช่นเดียวกับหม่อมหลวงปรียาธร เทวกุล ที่กล่าวว่า นักลงทุน กู้ยืมเงินดอกเบี้ยต่ำใกล้ ๐%จากอมเริกา เป็นUS ดอลล่าร์ แล้วมาลงทุนในเมืองไทยที่ได้กำไร๓-๔% ใครจะไม่เอา เอกสารแนบ…..จึงทำให้เงินไหลเข้าประเทศมากขึ้น และทำให้ค่าเงินไทยเราแข็งขึ้น
ดังนั้นการที่กนง. ไม่ได้เปิดรับฟังความคิดเห็น ผู้ที่มีส่วนได้เสีย ตามรัฐธรรมนูญมาตรา ๕๗ ๕๘ ๗๔ และพระราชกฤษฎีกา ว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดีพ.ศ.
๒๕๔๖ มาตรา ๘ (๓) ในการประกาศขึ้นดอกเบี้ยระหว่างธนาคารแ ละไม่ควบคุม อัตราดอกเบี้ยเงินกู้การไม่ควบคุมกำกับค่าธรรมเนียมธนาคาร ตามรัฐธรมมนูญมาตรา ๘๔(๖)ที่ให้กระจายรายได้อย่างเป็นธรรมทำให้รายได้ค่าธรรมเนียมธนาคารในเก้า เดือนแรก มีสัดส่วน ๑๔๘,๐๐๐ ล้านบาท เอกสารแนบ…… รวมถึงการแก้ปัญหาไม่ตรงประเด็นของรัฐบาล ในการที่จะป้องกันอัตราเงินเฟ้อ (เพราะส่วนหนึ่งไม่ควบคุมราคาสินค้า การไม่ควบคุมการไหลเข้าออกของเงินตราต่างประเทศ ) จึงเกิดความเสียหาย ตามมามากมาย
ดังนั้นข้าพเจ้า จึงใคร่ขอให้ โปรดพิจารณาดังต่อไปนี้
๑ ประกาศ ลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ลง ๑% ทันที
๒ เร่งปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ และ ลดส่วนต่างของดอกเบี้ยเงินกู้และฝากไม่เกิน ๒% และลดค่าธรรมเนียมธนาคารลง
๓ เก็บภาษีจากการเก็งกำไรค่าเงินบาท และการซื้อขายหุ้น รายได้จากดอกเบี้ยเงินกู้ หรือพันธบัตรเงินกู้ ให้มากขึ้น และให้เงินที่เข้ามาอยู่ในประเทศไทยนานขึ้น ไม่ให้เงินเข้าออกเสรี
ข.ปัญหาเรื่อง คนไม่ดีมาปกครองบ้านเมือง มีการวิจัยของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยพบว่า
มีผู้แทนเพียง๕ %เท่านั้นทีเข้ามาโดยไม่ซื้อเสียงที่เหลือคือซื้อสิทธิขายเสียงทั้งสิ้นรวมทั้งมีข่าวเรื่อง
การโกงคะแนนแต่ไม่มีการป้องกันแก้ไขจากกต ทำให้เกิดปัญหาวงจรเลวร้ายมาตลอดครั้งแล้ว ครั้งเล่า ตั้งแต่การเปลี่ยนแปลงการปกครองมา๗๘ปี โดยไม่มีการปรับปรุงแก้ไขจากรัฐบาลทุกรัฐบาลซึ่งควรจะป้องกันได้แ ละให้ใช้เงินน้อยๆในการสมัครเลือกตั้งและหาเสียง (เอกสารแนบ )
ค. เรื่องการศึกษาชาติ ลงทุนมากมาย แต่ยิ่งเรียนยิ่งไอคิวลดลง มีผู้จัดการศึกษาได้ดี แต่ไม่ได้เรียกมาใช้ให้ทำเช่นครูโรงเรียน สาธิตต่างๆ แต่ให้ใช้หลักสูตรมากมายซ้ำซ้อน และไม่เหมาะสม ไม่ตามหลักวิชาการทางการแพทย์ ไม่มีการปฏิบัติหรือนำไปใช้ได้ในชีวิตจริง เรียนจนหัวโต แต่ ชีวิตจริงมีปัญหา ไม่ว่าเรื่องพฤติกรรมเยาวชนที่มากขึ้น ปัญหาสติปัญญา ศักยภาพเด็กไทย
ร้องเรียนเท่าไรไม่เคย แก้ไข ยกเลิก ยิ่งบังคับให้เด็กเรียนมากขึ้น อ้างความรู้รอบตัว แต่ ไม่มีประเทศไหนในโลกจัดการศึกษาแบบนี้ แต่ผลลัพท์ที่ได้คือ กวดวิชามากขึ้น เด็กไอคิวลดลง เครียดมากขึ้น เช่นงานบ้านเรียนตั้งแต่ประถม ๑ จนถึงมัธยม ๖ ทั้งๆที่ ควรเรียนรู้และปฎิบัติ
ได้สองสามปีพอแล้ว
เด็กไม่ชอบสายวิทย์ก็ต้องบังคับเรียน และไม่ได้เอาไปใช้จริง เช่นจะเรียนสาขาท่องเที่ยว
ต้องมาเรียนวิทย์คณิตทั้งๆที่จะต้องใช้จำนวนภาษาที่หลากหลาย แต่ไม่มีโอกาสได้เรียน เพราะต้องใช้คะแนนONET ทุกวิชา ทำให้เสียเวลา และค่าใช้จ่ายเด็ก เสียแรงงานครู ไร้ประโยชน์ และการสอบคัดเลือกเข้ามาหวิทยาลัยไม่ได้แยกสอบวิทยาศาสตร์ และสัดส่วนไม่สอดคล้องกับสาขาคณะที่จะเรียน ทำให้เด็กที่เข้าไป ด้วยคะแนนสังคม ภาษาไทยที่ไม่เกี่ยวข้องกับวิทย์เรียนไม่ได้ต้องลาออกหรือได้คุณภาพต่ำจึงมี ผลทำให้สูญเสีย
งบ ประมาณแผ่นดิน
เวลาปฏิรูปการศึกษาชาติใช้คนเดิมๆแนวคิดเดิมๆมาทำ ผลที่ได้จึงเหมือนเดิม ไม่ไปไหน
การปลูกฝังให้เป็นเด็กดีมีศิลธรรม รักชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ไม่ได้จัดทำทั้งๆที่ง่ายดาย ไม่ต้องแก้ไขอะไรตรงไหนเพียงแต่ปรับกระบวนการเรียนการสอน แต่ไม่ทำ และมีคู่มือคร สอนให้เด็กเป็นคนดีมีศักยภาพ มีจิตสาธารณะ รักบ้านเมือง โดย ขอความร่วมมือสื่อมวลชน ผู้นำศาสนาต่างๆ กลุ่มครูสาธิต แพทย์
ระบบแอดมิชชั่นที่สร้างความเสียหายก็ยังไม่ยกเลิกมาร้องที่สำนักงานราชเลขา ก็ไม่มีความคืบหน้า ห้า -หกปีผ่านไป ไม่มีผลใดๆเกิดขึ้น
รายละเอียดแนวทางแก้ไข ตามเอกสารแนบ
ง. การปฏิบัติหน้าที่ของตุลาการ และองค์กรอิสระ เช่นปปช ตุลาการศาลปกครอง ศาลรัฐธรรมนูญ เป็นเพียงพวกใครพวกคนนั้น ไม่ได้ตรงไปตรงมา ใช้กฎหมายเอื้อพรรคพวก แต่ไม่ได้ปฏิบัติตามหลักนิติธรรม ซึ่งควรแก้ไขเรื่องที่มาของกลุ่มคนเหล่านี้ต้องมีประวัติ มีความเที่ยงธรรมนอกเหนือจาก มีความรู้ด้านกฎหมายแล้ว ควรมีผู้นำศาสนามาเป็นผู้คัดเลือก และตำแหน่งสูงๆระดับผู้นำ น่าจะใช้การเลือกมาจาก ประชาชนทั้งประเทศ เช่นประธานปปช ศาลรัฐธรรมนูญ ผู้ตรวจการแผ่นดิน
ข้าพเจ้าไม่รู้จะไปร้องเรียนกับผู้ใดเพราะกระบวนการยุติธรรมหวังพึ่งไม่ได้ แต่ประเทศชาติกำลังเข้าสู่หายนะ หลากหลายประการทั้งศักยภาพคนในชาติปัญหาเศรษฐกิจที่จะล่มจมเดือดร้อนการได้คนไม่ ดีมาปกครองบ้านเมืองเพราะไม่แก้ไขวิธีการที่จะได้มา ปัญหาประเทศจึงวนเวียนอยู่ในวงจรชั่วร้ายมีวิธีแก้ไขแต่ยังไม่มีใครเอาไป ปรับแก้ แต่จะแก้ไขในส่วนที่ตนจะได้ประโยชน์เช่นการเลือกตั้งแบบเบอร์เดียวเขตเดียว ซึ่งจะซื้อเสียงได้ง่าย และ คนโกงเข้ามาปกครองบ้านเมืองมากขึ้น ฯลฯ
จึงใคร่ขอกราบเรียนมาเพื่อโปรดเร่งพิจารณาแก้ไขด่วน เพื่อมิให้ประชาชนได้รับ
ผลกระทบ และเสียหายไป มากกว่านี้ ขอกราบขอบพระคุณยิ่ง ควรมิควรแล้วแต่จะโปรด
ขอแสดงความนับถือ
พท.พญ.กมลพรรณ ชีวพันธ์ศรี
|
|
|
|
![]() |
|
คนไท
|
 ได้อ่านทำให้เข้าใจ ขอบคุณมาก
|
|
|
|
![]() |
|
|
|
2 ปีรัฐบาลปชช.พอใจการทำงานลด ให้คะแนนเพียง3.82เต็ม10 http://breakingnews.nationchannel.com/read.php?newsid=485414
20 ธค. 2553 10:15 น. สนับสนุนโดย NECTEC
ศูนย์วิจัยมหาวิทยาลัยกรุงเทพ (กรุงเทพโพลล์) ทำผลสำรวจเรื่องประเมินผลงาน 2 ปี รัฐบาล นายกฯอภิสิทธิ์ ทั้งนี้เนื่องจากวันนี้( 20 ธันวาคม 2553 ) เป็นวันครบรอบ 2 ปี การทำงานของรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ โดยได้ดำเนินการสำรวจความคิดเห็นเรื่อง “ประเมินผลงาน 2 ปี รัฐบาลนายกฯ อภิสิทธิ์” ขึ้น โดยเก็บข้อมูลจากประชาชนอายุ 18 ปีขึ้นไปจากทุกภาคของประเทศ จำนวนทั้งสิ้น 1,448 คน เมื่อวันที่ 10-14 ธันวาคม ที่ผ่านมา พบว่า ประชาชนให้คะแนนความพึงพอใจการทำงานของรัฐบาล 3.82 คะแนน จากคะแนนเต็ม 10 คะแนน ซึ่งลดลงจากผลสำรวจเมื่อตอนที่รัฐบาลทำงานครบ 1 ปี 0.05 คะแนน โดยให้คะแนนความพึงพอใจผลงานด้านสังคมและคุณภาพชีวิตมากที่สุด แต่พึงพอใจผลงานด้านการบริหารจัดการและการบังคับใช้กฎหมายน้อยที่สุด สำหรับผลงานและโครงการของรัฐบาลที่ประชาชนชื่นชอบมากที่สุด คือ โครงการเรียนฟรี 15 ปี โครงการเบี้ยยังชีพคนชรา และ โครงการประกันราคาสินค้าเกษตร ตามลำดับ ทั้งนี้เมื่อเปรียบเทียบคะแนนความพึงพอใจต่อการทำงานของพรรคประชาธิปัตย์ซึ่งเป็นแกนนำรัฐบาล พรรคร่วมรัฐบาล และพรรคฝ่ายค้าน พบว่า พรรคประชาธิปัตย์ได้ 4.11 คะแนน พรรคร่วมรัฐบาลได้ 3.42 คะแนน และพรรคฝ่ายค้าน ได้ 3.85 คะแนน จากคะแนนเต็ม 10 คะแนน สำหรับคะแนนการปฏิบัติหน้าที่ในฐานะนายกรัฐมนตรี ของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ได้คะแนนเฉลี่ย 4.44 คะแนน จากคะแนนเต็ม 10 คะแนน ซึ่งลดลงจากผลการประเมินเมื่อตอนที่ทำงานครบ 1 ปี 0.26 คะแนน โดยได้คะแนนความขยันทุ่มเทในการทำงานเพื่อแก้ปัญหาของประเทศมากที่สุด แต่ได้คะแนนด้านความเด็ดขาด กล้าตัดสินใจน้อยที่สุด ส่วนเรื่องที่ต้องการให้รัฐบาลทำอย่างเร่งด่วนเพื่อเป็นของขวัญปีใหม่ให้ประชาชนคือ ทำให้เศรษฐกิจดีขึ้นเพื่อจะได้ให้คนมีงานทำ มีรายได้ ร้อยละ 19.9 รองลงมาคือ ทำให้บ้านเมืองสงบ มีความสามัคคี เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้คนในชาติ ร้อยละ 12.8 และให้ยุบสภาแล้วลือกตั้งใหม่ ร้อยละ 11.6
|
|
|
|
![]() |
|
|
10 อันดับชั่วช้า แห่งปี 2553 ในประเทศตายแลนด์ http://www.internetfreedom.us/thread-6389.html
ย่างเข้าปีใหม่อีกปีหนึ่งแล้ว เราเราท่านท่าน อ่านมาก็เยอะเขียนมาก็มาก ในความคนไม่ดีตำบอนของผู้มีอำนาจในบ้านเมืองนี้ เมื่อถึงสิ้นปีกระผมผู้เขียนจึงขอสรุปสุดยอดแห่งปีมาให้พวกเราได้อ่านกันซักครั้ง เห็นด้วยหรือไม่ ไม่ใช่ประเด็นและปัญหาครับ ทั้งนี้เพียงเพื่อรวบรวมรายชื่อต่อไปนี้เอาไว้เป็นประวัติศาสตร์ให้ผู้คนรุ่นหลังได้รับทราบเท่านั้น ว่าในปีที่ผ่านมานี้เกิดอะไรขึ้นบ้าง
อนึ่ง..กระทู้ นึ้ ผู้เขียนยินดีเป็นอย่างมาก หากท่านผู้เข้ามาอ่านท่านใดมีความเห็นแย้ง จะจัดอันดับใหม่ด้วยข้อมูลใหม่ก็ไม่ว่าแล้วแต่สะดวกแต่ละท่านเลยครับ หรือ จะเพิ่มเติมอันดับมาอีกก็ไม่ว่ากัน เหตุเพราะว่าทุกความเห็นล้วนเป็นประโยชน์และข้อมูลสำคัญทั้งนั้นทั้งสิ้น
10อันดับชั่วช้าประจำปีพุทธศักราช2553 ในประเทศตายแลนด์ ได้แก่
อันดับที่1.นายหรือนางหลังม่าน ที่อยู่เบื้องหลังการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์คนไทย ณ.ทุ่งสังหารสี่แยกราชประสงค์ และ แยกคอกวัว จนมีผู้คนตายไป92ศพ บาดเจ็บด้วยกระสุนปืนและวัตถุระเบิดเกือบ2000 คนในนั้นมีทั้งสตรีเด็กและคนชรารวมอยู่ด้วย
อันดับที่2.เจ๊กกบฏตระกูลลิ้ม มารหัวคนที่นำความเสื่อมมาสู่บัลลังก์ เป็นผู้มักมากในกามเชี่ยวชาญในการใช้ปาก สะสมคลิปลับไว้มากมาย เป็นตัวเร่งตัวจุดชนวนให้เกิดการรัฐประหารขึ้นในประเทศตาย และสุดท้ายเป็นผู้อยู่เบื้องหลังการแฉความลับในตำหนักต้องห้าม จนเป็นที่เรื่องลือกระฉ่อนไปทั่วทั้งโลก
อันดับที่3. อีเปรม ขันทีเฒ่าเจ้าเล่ห์ผู้มักใหญ่อยากเป็นหัวมังกรซะเอง เป็นผู้นำพากองทัพให้ต่ำทราม เข้ายึดอำนาจการปกครองจากประชาชน และอยู่เบื้องหลังอีกหลายสิ่งหลายอย่างในเรื่องของการกระทำความชั่ว
อันดับที่4.คุณบัง แขกผู้ทรยศหักหลังเลี้ยงไม่เชื่อง เป็นหัวหน้ากลุ่มกบฏที่มีขันที่เฒ่าสังการ ได้เข้าทำการยึดอำนาจการปกครองจากประชาชนมาเป็นของพวกพ้องตนเองได้สำเร็จ อันจนเป็นเหตุให้ประเทศตายต้องล่มจมจนเละ และ ล่มสลายไปในที่สุดเช่นทุกวันนี้
อันดับที่5.คุณแอ๊ด เจ้าของฉายา “ยายเที่ยงไม่ผิด” เป็นผู้บังคับใช้ระบอบการปกครองที่ยึดมาได้จากประชาชน และเป็นหนึ่งในผู้วางแผนยึดอำนาจในครั้งที่ผ่านมา
อันดับที่6. มาร์คม.7 เจ้าของฉายา แปรงสีฟันมิอาจร่วมใช้ เป็นผู้แย่งชิงอำนาจมาจากประชาชนเฉกเช่นเดียวกัน แต่ต่างกันตรงที่ว่า ไม่ได้ใช้กำลังทหารเข้าทำการยึดอำนาจเท่านั้น เพียงแต่ใช้ช่องทางของ โจรเขียวและกระบวนการอยุติธรรมเข้ามาช่วยเหลือ
อันดับที่7.เทือกลิ้นสองแฉก มีหลายฉายาแต่ที่จำได้แม่นยำก็คือ เทพดันดารา ความเลวส่วนตัวไม่ต้องพูดถึง เลวจนมิอาจบรรยายออกมาเป็นตัวหนังสือไม่กี่บรรทัดได้หมด ความเลวระดับอินเตอร์มีมิใช่น้อย เป็นตัวตั้งตัวตีสร้างตำนานงูเห่าภาคสองขึ้นมา เป็นผู้มีอำนาจเต็มในการสร้างตำนานทุ่งสังหารเกิดขึ้นในประเทศตาย กินได้ทุกอย่างทรัพยากรของประเทศรวบมาเป็นของส่วนตนได้ทั้งหมด
อันดับที่8.ห้อยร้อยยี่สิบ ฉายามีมากมาย แต่ละปีมีผู้ตั้งฉายาให้ใหม่เป็นประจำทุกฉายาล้วนเป็นที่มาของความเลวทั้งสิ้น เรื่องการโกงการถ่อยทุกภาคส่วนยอมยกนิ้วให้กับเศษมนุษย์คนนี้ นอกจากเป็นตัวตำนานงูเห่าภาคสองแล้ว ยังสร้างตำนานเขมือบได้มากมายที่สุด ตั้งแต่ก่อตั้งประเทศนี้มาไม่มีใครสามารถสร้างตำนานได้มากมายเท่านี้อีกแล้ว
อันดับที่9.จรัลพันบาท ตุลาเกินที่สามารถสร้างความอัปยศได้สูงสุดในประเทศตายนี้ ความเชื่อถือที่เคยมีมาในอดีตพังทลายสิ้นด้วยฝีตีนของ อมนุษย์ตนนี้ สิ่งที่เห็นกันชัดๆหลายเรื่อง แต่ที่จะยกมาเป็นตัวอย่างก็เช่น 1.คดีท่านนายกฯสมัคร ถูกตัดสินให้พ้นจากนายกฯเพียงเพราะทำกับข้าวออกทีวี โดยการอ้างพจนานุกรมมาเป็นข้อวินิจฉัย 2.ไม่ยอมเอาคดียุบพรรคประชาวิบัติสองคดีเข้ามาอยู่ในกระบวนการพิจารณาคดี ด้วยเหตุผลสุดถ่อยต่างกรรมต่างวาระดังนี้ คือ 2.1คดีแรก ขาดอายุความ 2.2คดีที่สองกระบวนการสั่งฟ้องผิดขั้นตอน ทั้งสองเรื่องยกคำร้องทั้งสิ้น
อันดับที่10.ตู่ตาเหล่ อันดับนี้เชือดเฉือนกันอยู่หลายตัว ผู้เข้าชิงอันดับนี้มี 1.ขุนช้างป๊อก 2.หญิงเป็ดเจ้าของแหนมป้าย่น 3.กล้าเหม่งหัวเหม็นเขียว(ผัวน้อยอีติ๋ม) 4.ธาริตคุณลูกหมา แต่สุดท้ายตู่ตาเหล่ชนะการโหวดได้ติดอันดับที่10 ด้วยคะแนนเฉียดฉิว เหตุเพราะ วีรกรรมทุ่งสังหารฆ่าประชาชนที่แยกราชประสงค์และแยกคอกวัว เบื้องหลังตู่เหล่ผู้นี้เป็นผู้คุมการบังคับบัญชาทั้งสิ้น เขมือบงบประมาณในกองทัพไปก็มิใช่น้อย กล่าวกันว่าเรือเหาะที่ไม่เหาะ ก็เพราะฝีมือตู่เหล่ผู้นี้งาบไปเยอะ
แค่..สิบอันดับอาจจะน้อยเกินไป เชิญท่านๆทั้งหลายเพิ่มอันดับที่11-100ได้ตามสะดวกครับ เก็บตะวัน ก่อนตะวันตกดิน
|
|
|
|
![]() |
|
|
U R SHIT
|
|
|
|
|
![]() |
|
|
เมากาวหรือป่าวว่ะนาย
แสดงว่าเริ่มเข้าใจแล้ว โดยเฉพาะกลอนท่อนนี้
จิตเมามัวหัวไร้สติไร้ปัญญา ใจเยี่ยงหมามาเห่าหอนปากบอนจริง
อย่าลืมสวดท่องบ่นภาวนาทุกวันหลังอาหารและก่อนนอนล่ะ รับรองว่าจะมีโอกาสได้ดวงตาเห็นธรรมเข้าสักวันหนึ่งเป็นแน่แท้ U R SHIT ติดนิสัยสันดานเสีย เอาแต่เลียเอี้ยทรราชชาติชั่วหนา จิตเมามัวหัวไร้สติไร้ปัญญา ใจเยี่ยงหมามาเห่าหอนปากบอนจริง คนเห็นผิดคิดเป็นชอบตอบเหมือนหมา เป็นขี้ข้าไร้ราคาขายหน้ายิ่ง เป็นแค่เพียงเสียงนกกาไก่หมาลิง กระจอกจริงอิงมารชั่วตัวอัปรีย์
|
|
|
|
![]() |
|
|
|
วันที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2553 ปีที่ 20 ฉบับที่ 7328 ข่าวสดรายวัน http://www.khaosod.co.th/view_news.php?newsid=TUROamIyd3dPREl5TVRJMU13PT0=§ionid=TURNd013PT0=&day=TWpBeE1DMHhNaTB5TWc9PQ==
ฉลาดหน่อย ชกไม่มีมุม วงค์ ตาวัน
การชุมนุมของม็อบเสื้อแดงในสถานการณ์ที่ไม่มีแกนนำอย่างชัดเจน มีเพียงคนนัดหมายประสานงาน แต่กลับมีผู้เข้าร่วมไม่ต่ำกว่า 2 หมื่นไปจนถึง 3 หมื่นคน เนืองแน่นอย่างสม่ำเสมอในทุกๆ ครั้ง
เช่นนี้แล้ว ไม่รู้ว่าหน่วยความมั่นคงของรัฐบาลประเมินสถานการณ์กันอย่างไร
*คงไม่มีการอ้างรายงานข่าวกรองมั่วๆ ประเภทคนนอกประเทศสั่งการมา มีท่อน้ำเลี้ยงว่าจ้างมา อะไรประเภทนั้น!?*
ถ้าสันติบาล สมช. ศอฉ. กล้ารายงานอย่างตรงไปตรงมา
ต้องกล้าสรุปว่า เพราะมีเงื่อนไขความคับแค้นใจ ความรู้สึกยังไม่ได้รับความเป็นธรรม จึงเป็นเหตุให้ผู้คนยังหลั่งไหลเข้าร่วมอย่างไม่ลดน้อยลง
ประเด็นสำคัญสุดคือ ความจริงในเหตุการณ์ 91 ศพ ยังไม่ได้รับการสะสาง
ยังไม่มีผู้สั่งการใช้ความรุนแรงถูกลงโทษ!
ถ้ายังปล่อยให้อึมครึมไปเช่นนี้ การชุมนุมในทุกสัปดาห์ ในทุกเดือน ยังคงกระหึ่มไม่จบสิ้น ดีไม่ดีอาจเพิ่มจำนวนผู้คนมากขึ้นๆ จนถึงแสนได้ไม่ยาก
แล้วถ้าหากผู้ชุมนุมยังใช้ท่วงทำนองสันติวิธี ใช้วิธีการเสียดสี ใช้สัญลักษณ์ในการต่อสู้เช่นนี้ตลอดไป
*ฝ่ายรัฐย่อมไม่อาจมีช่องทางใดๆ เข้าดำเนินการเพื่อหยุดยั้งหรือควบคุมได้*
หน่วยข่าวกรองทั้งหลาย อาจเตือนสติผู้มีอำนาจสักนิด
สะกิดให้ฉลาดกันสักหน่อย โดยต้องรู้จักหาทางคลี่คลายสถานการณ์หลังการนองเลือด!
ยกตัวอย่าง 14 ตุลาฯ 2516 และพฤษภาคม 2535 ประกอบให้เห็นเป็นรูปธรรมแนบท้ายด้วย
ต้องมีผู้สั่งการอพยพหลบหนีออกนอกประเทศ
หรืออย่างน้อยก็ต้องลาออก วางมือทางการเมืองไปเลย
ถ้าฉลาดสักหน่อย บรรยากาศจะคลี่คลายอย่างฉับพลัน!
การชุมนุมของผู้คนหลังจากนั้น จะเป็นเรื่องการรำลึกถึงวีรกรรมของวีรชน ชูหลักการต่อต้านอำนาจความรุนแรง
แต่เพราะพฤษภาคม 2553 ไม่มีความรับผิดชอบเกิดขึ้นเลยจากผู้มีอำนาจ
*ดังนั้นการชุมนุมของประชาชน จึงเป็นพลังที่ใหญ่โต และทวงถามการลงโทษ คนสั่งการใช้ความรุนแรง จนทำให้คนตายถึง 91 ศพ*
ที่เสื้อแดงชุมนุมกันทุกสัปดาห์ ทุกเดือน จึงมาด้วยอารมณ์ความรู้สึกใหม่
เขาเลิกเรียกหาทักษิณไปแล้ว
แต่ถามหาคนที่จะถูกลงโทษชดใช้หนี้ชีวิต!
|
|
|
|
![]() |
|
|
|