|
เบื่อคำโฆษณาสร้างภาพมายาจอมปลอมหลอกลวงผู้คนให้หลงเชื่อโดยไม่รู้จักละอายใจ "บริการทุกระดับประทับใจ" ที่แท้กลายเป็น "บริการเอารัดเอาเปรียบจนกว่าลูกค้าจะตาย" ในเมื่อนายประสารไม่สามารถแก้ไขปัญหาที่ร้องเรียนมากว่า 5 ปีนี้ได้ ทั้ง ๆ ที่รู้ว่าไม่เป็นธรรม แล้วอย่างนี้ยังมีหน้ามาเสนอหน้าเป็นผู้ว่าการแบงค์ชาติโดยไม่รู้จักละอายแก่ใจตัวเองบ้างเลย อีกไม่กี่วันก็จะออกจากกสิกรไทยไปแล้ว ปัญหาก็ยังคาอยู่ แล้วจะมาสู้หน้าผู้ร้องเรียนได้อย่างไร ศักดิ์ศรีว่าที่ผู้ว่าการแบงค์ชาติคนใหม่ จะหาได้จากที่ไหนกัน น่าขายหน้าเสียจริง ๆ
เบื่อหน่วยงานของรัฐที่ทำงานสนองนโยบายเฉกเช่นขี้ข้าสอพลอไร้ประสิทธิภาพไร้จุดยืน เบื่อนักการเมืองที่ไร้ความกล้าหาญในการยืนหยัดเพื่อต่อสู้ให้ได้มาซึ่งระบอบประชาธิปไตยอย่างแท้จริง เบื่อผู้นำหลักการเสื่อม ไร้คุณธรรม ห้ำหั่นเข่นฆ่าเพื่อนร่วมชาติอย่างป่าเถื่อนไร้ความปรานี เมื่อไรเราถึงจะมีคนดี ๆ มีความกล้าหาญที่สามารถยืนหยัดต่อสู้เพื่อรักษาความเป็นธรรมในสังคมให้คงไว้ เมื่อไรบ้านเมืองจึงจะสงบสุข มีสิทธิเสรีภาพและความเสมอภาคเท่าเทียมกันอย่างแท้จริงเสียที
กรุณาอ่านข้อมูลที่เรียบเรียงอย่างดีจากกระทู้ข้างล่างนี้ประกอบด้วย นี่หรือว่าที่ผู้ว่าการแบงค์ชาติ ? แค่ปัญหาลูกค้าเล็ก ๆ ที่ร้องเรียนมากว่า 5 ปี ยังไม่มีปัญญาแก้ไขได้เลย http://webboard.news.sanook.com/forum/?topic=3155947.0;all จากกระทู้ประกอบข่าวข้างล่างนี้ท่านมีความเห็นอย่างไรบ้าง ? มิน่าล่ะ วันนี้โทรไปหาผู้รับเรื่องโกหกและปัดอย่างมะนาวไม่มีน้ำว่า ไม่ได้รับหนังสือร้องเรียนผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย เมื่อวันที่ 2 มิถุนายน 2553 เรื่อง ร้องเรียนธนาคารกสิกรไทยและธนาคารต่าง ๆ ทั้ง ๆ ที่เจ้าหน้าที่ผู้นี้ มีการเจรจากับผู้จัดการเขตให้ระงับหนังสือร้องเรียนไว้ก่อน แต่ผมโทรแจ้งยืนกรานไปว่าให้ดำเนินการตามที่ร้องเรียนไว้ดังเดิม มิหนำซ้ำเจ้าหน้าที่นี้ยังรีบยุติตัดบทการสอบถามขอคำตอบโดยให้ผู้ร้องคิดเอาเองเสียอีกด้วย โทรหาหน้าห้องท่านผู้ว่าการฯ ว่าเจ้าหน้าที่ไม่เป็นกลางและไม่ใส่ใจในเรื่องที่ร้องเรียน ขอพบผู้ว่าก็อ้างมีคิวเยอะ ผู้ที่มีอาวุโสเหนือกว่าผู้ที่รับเรื่อง ก็ให้ชื่อและเบอร์ไว้ แต่ไม่ยอมโอนให้ จึงต้องโทรไปใหม่ ปรากฎว่าท่านไม่อยู่ ไปต่างประเทศ กว่าจะกลับก็อีกหนึ่งอาทิตย์ ให้ต่อรองผู้ว่า ก็แกล้งไม่รับสาย โทรไปติด แต่กเลขาหน้าห้องรองผู้ว่าซึ่งน่าจะรู้เรื่องดีก็กดทิ้ง โทรหาผู้จัดการเขตก็อ้างติดประชุมทุกครั้ง และยังไม่มีคำตอบที่ชอบด้วยเหตุผลให้อยู่ดี ถ่วงเวลาไปเรื่อย ๆ เหมือนเช่นทุก ๆ ครั้งที่ผ่านมา โดยมีเจตนาไม่ชอบมาพากล แล้วหากว่าที่ผู้ว่าแบงค์ชาติท่านใหม่ ดร.ประสาร ไตรรัตน์วรกุล กรรมการผู้จัดการใหญ่ธนาคารกสิกรไทย มารับตำแหน่งเมื่อไร ท่านจะกล้าสั่งให้ดำเนินการลงโทษธนาคารกสิกรไทยตามเรื่องที่ร้องเรียนมากว่า 5 ปี หรือ ? (รวมทั้งแบงค์อื่น ๆ ตามข้อมูลที่บรรจุไว้ในซีดีด้วย) ร้องKBank แกล้งเอาเปรียบมา 5 ปี +ร้องแบงค์ชาติและสคบ.กว่า 3 ปี+สนุก 5 เดือน เหมือนไร้ผล http://webboard.news.sanook.com/forum/3140735ร้องเรียนKBankกลั่นแกล้งเอาเปรียบมาประมาณ 5 ปี +แบงค์ชาติและสคบ.กว่า 3 ปี+สนุก 5 เดือน ดูเหมือนไร้ผล สืบเนื่องมาจากการร้องเรียนแลกเปลี่ยนความคิดเห็นผ่านเว็บบอร์ดอาชญากรรม-สังคมของเว็บสนุกมาอย่างต่อเนื่องประมาณ 5 เดือน โดยมีกระทู้หลักว่า
กลยุทธการบริการเอารัดเอาเปรียบจนกว่าลูกค้าจะตาย ของธนาคารกสิกรไทยที่ท่านควรทราบ ? http://webboard.news.sanook.com/forum/2970966.html
และได้แตกกระทู้ออกไปอีกประมาณ 40 กระทู้ ซึ่งส่วนใหญ่ได้รับการพิจารณาให้เป็นประเด็นร้อนสุด ๆ มาโดยตลอด มีคนสนใจเข้ามาอ่านรวมเกินกว่า 130000 ครั้ง ต่อมาได้ถูกลบออกไปหมด จนปัจจุบันนี้มีกระทู้เหลืออยู่เพียง 3 กระทู้ดังนี้
ขึ้นบอร์ดกระทู้แนะนำแล้ว ! พวกสันดานแบงค์ อภิสิทธิ์ชน พรรคประชาวิบัติ ใครเลวกว่ากัน ? http://webboard.news.sanook.com/forum/3042091_ขึ้นบอร์ดกระทู้ แนะนำแล้ว_!_พวกสันดานแบงค์_อภิสิทธิ์ชน_พรรคประชาวิบัติ_ใครเล.html
ประกาศ ! กระทู้ KBank และ... ที่โดนลบ ได้เขียนใส่ CD ส่งถึงผู้ว่าการแบงค์ชาติเรียบร้อยแล้ว http://webboard.news.sanook.com/forum/?topic=3055870
เทวดามีจริงหรือ ?- ฉีกหน้ากากเทวดา +คลิปตาสว่าง+กระทู้แนะนำโดยสมาชิก http://webboard.news.sanook.com/forum/?topic=3064283
หลังจากหยุดโพสต์มานานหลายเดือนเพราะต้องการรอคำตอบจากท่านผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยและสคบ. ก่อน จนกระทั่งวันที่ 1 มิถุนายน 2553 จึงได้รับหนังสือตอบอย่างเป็นทางการจากธนาคารแห่งประเทศไทย ลงวันที่ 25 พฤษภาคม 2553 จึงได้ทำหนังสือร้องเรียนกลับไปใหม่ดังนี้ (อ่านต่อด้านล่างเนื่องจากจำนวนคำเกิน 6000 ตัวอักษร)ส่วนทางสคบ.เจ้าหน้าที่ได้แจ้งให้ทราบว่า ให้ยุติเรื่องสั้น ๆ จะทำหนังสือแจ้งให้ทราบ รอมาร่วม 2 อาทิคย์แล้วก็ยังไม่ได้รับ หากได้รับเมื่อไรก็จะดำเนินการร้องเรียนแย้งกลับเช่นเดียวกับที่ทำกับแบงค์ชาติเช่นกัน จึงได้ตัดสินใจตั้งกระทู้นี้เพื่อชี้แจงให้เพื่อนสมาชิกที่เคยติดตามกระทู้ผมมาโดยตลอด รวมทั้งเพื่อนสมาชิกท่านอื่น ๆ ที่สนใจ จะได้รับทราบ และช่วยกันออกความคิดเห็นที่เป็นประโยชน์ต่อส่วนรวมต่อไป กระทู้โปรด-27-2-2553
|
|
|
|
Tags: |
|
![]() |
|
|
2 มิถุนายน 2553 เรื่อง ร้องเรียนธนาคารกสิกรไทยและธนาคารต่าง ๆ เรียน ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย อ้างถึง หนังสือที่ฝวต.(43) 292/2553 เรื่องร้องเรียนธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ลงวันที่ 25 พฤษภาคม 2553 ตามที่ท่านได้มีหนังสือตอบเมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม 2553 นั้น ข้าพเจ้าเพิ่งได้รับเมื่อวันที่ 1 มิถุนายนนี้เองซึ่งการตอบครั้งนี้ถือว่าล่าช้ามาก (กว่า 5 เดือน) และไม่ได้ให้คำตอบใด ๆ ตามการร้องเรียนทั้ง 3 ครั้ง (23 ธันวาคม 2552 11 มีนาคม 2553 และ 1 เมษายน 2553) ของข้าพเจ้าแต่อย่างไร การที่ท่านได้ส่งหนังสือตอบจากทางกสิกรไทยแนบมา 2 ฉบับนั้น ( 22 ตุลาคม 2552 และ18 ธันวาคม 2552) ก็เป็นคำตอบที่ข้าพเจ้าได้โต้แย้งทั้งทางตรงและทางโทรศัพท์มาหลายครั้งหลายหนแล้วว่าไม่ตรงจริง ขาดความจริงใจ และตอบไม่ตรงประเด็น นอกจากนี้ คำร้องเรียนของข้าพเจ้าพร้อมข้อมูลตามกระทู้ที่ตั้งในบอร์ดแสดงความคิดเห็นใน www.sanook.com นั้น นอกจากจะเป็นการร้องเรียนเพื่อขอความเป็นธรรมในเรื่องที่ข้าพเจ้าถูกธนาคารกสิกรไทยฯ กลั่นแกล้งเอารัดเอาเปรียบอย่างไม่เป็นธรรมจนข้าพเจ้าต้องสูญสิ้นลูกค้าและไม่สามารถดำเนินธุรกิจต่อไปได้ โดยทางธนาคารมีจุดมุ่งหมายที่จะยึดทรัพย์สินเพื่อดำเนินการขายทอดตลาดและขูดรีดเอาเปรียบดังเช่นกรณีที่เกิดขึ้นกับนาย.......... น้องชายของข้าพเจ้าตามรายละเอียดในหนังสือร้องเรียนกรรมการผู้จัดการใหญ่เพื่อประกอบกระทู้ กลยุทธการบริการเอารัดเอาเปรียบจนกว่าลูกค้าจะตายของธนาคารกสิกรไทยที่ท่านควรทราบและธนาคารกสิกรไทยรีดเลือดกับปู ซื้อทรัพย์สินที่ยึดมาในราคาถูกมาก ขายได้ทุนคืน แล้วยังมาทวง ข้าพเจ้ายังมีข้อร้องเรียนภาพโดยรวมของธนาคารต่าง ๆ ที่คิดจ้องแต่จะหาช่องทางเอารัดเอาเปรียบลูกค้าอย่างสุด ๆ อีกมากมายด้วย ไม่ว่าจะเป็นการตั้งกฎกติกาสัญญาเพิ่มเติมตามใจชอบ ส่วนต่างดอกเบี้ยระหว่างเงินฝากและเงินกู้มากเกินไป การเพิ่มค่าธรรมเนียมการให้บริการแบบมัดมือชก เช่น บัตร ATM การทำประกันในรูปแบบต่าง ๆ การออกหนังสือรับรองต่าง ๆ ฯลฯ การใช้เล่ห์เหลี่ยมหลอกลูกค้าให้เสียค่าธรรมเนียมฟรี ๆ โดยไม่ได้อะไรเลย (ดังที่ข้าพเจ้าโดนมาแล้ว 2 ครั้ง เสียค่าประเมิน 2 ครั้ง แทนที่จะได้กู้เพิ่ม กลับโดนหั่นวงเงินเดิมขณะที่กำลังต้องการเงินหมุนเวียนเพิ่มจนต้องสูญสิ้นลูกค้าหมด และมีอีก 2 ราย ที่เสียค่าธรรมเนียมประมาณ 200,000 บาทโดยไม่ได้เงินกู้ ตามข้อมูลในแผ่น CD) ฯลฯ การที่ท่านได้ให้ฝ่ายกฎหมายของทางธนาคารพิจารณามาเป็นเวลานานและการที่ข้าพเจ้าร้องเรียนขอความเป็นธรรมมาเกินกว่า 3 ปี แล้วท่านได้แต่ตอบมาสั้น ๆ ว่า หากธนาคารแห่งประเทศไทยพบหลักฐานว่า ธนาคารกสิกรไทย ฯ มีการกระทำที่อาจเข้าข่ายการปฏิบัติไม่ชอบด้วยกฎหมายว่าด้วยธุรกิจสถาบันการเงินภายใต้อำนาจหน้าที่ของธนาคารแห่งประเทศไทยแล้ว ธนาคารแห่งประเทศไทย จักได้พิจารณาดำเนินการตามควรแก่กรณีต่อไป ท่านคิดไหมว่าผู้ร้องเรียนจะรู้สึกอย่างไร การที่ข้าพเจ้าร้องเรียนแจ้งให้ทราบอย่างชัดเจนแล้วว่า กรณีที่ทางธนาคารกสิกรไทย ฯ โฆษณาว่า “บริการทุกระดับประทับใจ” แต่ในความเป็นจริงที่ข้าพเจ้าได้รับคือ “บริการเอารัดเอาเปรียบจนกว่าลูกค้าจะตาย” ตามกระทู้ที่ข้าพเจ้าได้ตั้งไว้ว่า “กลยุทธการบริการเอารัดเอาเปรียบจนกว่าลูกค้าจะตายของธนาคารกสิกรไทยที่ท่านควรทราบ” ซึ่งรวมทุก ๆ กระทู้ที่แตกออกไป มีคนอ่านกว่า 130,000 ครั้งได้ และเกือบทุกกระทู้ที่แตกออกไปก็ได้รับการยกขึ้นเป็นประเด็นร้อนสุด ๆ ในเว็บดังกล่าว หรือการลงข้อความในหนังสือรายงานประจำปีว่าธนาคารกสิกรไทย ฯ บริการโดยมีจริยธรรมและคุณธรรม แต่กลับทำตรงกันข้าม อย่างนี้ยังไม่ถือว่าธนาคารไม่ผิดสัญญาอีกหรือ ถ้าหากธนาคารกสิกรไทย ฯ เป็นธนาคารเถื่อนให้กู้ให้บริการนอกระบบและไม่มีโฆษณาเช่นนี้ ข้าพเจ้าก็คงจะไม่มีข้อสงสัยค้างคาใจหรือติดใจที่ต้องร้องเรียนอีกต่อไป ปัจจุบันนี้ท่านคงทราบดีว่าประเทศไทยปกครองโดยอำนาจดำมืดเผด็จการ ไร้ประชาธิปไตยอย่างแท้จริง รัฐบาลปัจจุบันนี้ก็มีรากเหง้ามาจากเผด็จการรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 ซึ่งไม่เป็นที่ยอมรับของประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศ ยิ่งการกระทำของรัฐบาลล่าสุดที่ผ่านมานี้ โดยเฉพาะกรณีการสั่งทหารมาเข่นฆ่าประชาชนมือเปล่าอย่างป่าเถื่อนโหด***มอำมหิตผิดมนุษย์มนาจนได้รับการตั้งฉายาว่า “รัฐบาลเผด็จการทรราชชาติชั่วมือเปื้อนเลือด” ข้าพเจ้าจึงไม่ประสงค์ให้ทางธนาคารแห่งประเทศไทยมีภาพลักษณ์เลวทรามต่ำช้าดังเช่นที่รัฐบาลเป็นอยู่นี้ การส่งเสริมให้ธนาคารต่าง ๆ เอารัดเอาเปรียบประชาชนจนเกินกว่าเหตุ เท่ากับเป็นการซ้ำเติมประชาชนให้ได้รับความเดือดร้อนเพิ่มขึ้นไปอีก โคลงกลอนและเพลงที่ข้าพเจ้าแต่งตามที่ได้แสดงในกระทู้นั้น เป็นการสะท้อนภาพให้เห็นได้เป็นอย่างดี หากท่านไม่ทำหน้าที่ที่ควรทำเพื่อรักษาภาพลักษณ์ที่ดีไว้ ต่อไปท่านจะมีความภาคภูมิใจได้หรือในฐานะผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยผู้ทรงเกียรติ หรือท่านต้องการให้มีคนประณามดังเช่นคุณนะฮะที่มาตอบกระทู้หนึ่งดังนี้
|
|
Tags: |
|
![]() |
|
|
นะฮะ ระวังน้า คุณหนูเสี่ยปั้นKbank แบงค์ต่าง ๆ ทำเยี่ยงนี้ มีหรือที่เปตนรกอบายภูมิจะไม่ถามหา http://webboard.news.sanook.com/forum/?topic=3008259.new#new คุณ Jr...... คนพวกนี้..เขาไม่ได้นับถือศาสนาเหมือนกับคนทั่ว ๆ ไป....เขาจึงไม่เกรงกลัวนรก หรือบาปกรรมใด ๆ..... แต่คนพวกนี้..เขานับถือ สตังค์ สรณัง คัจฉามิ.. .ต่างหากล่ะ...... คุณไปร้องที่แบ้งค์ชาติ หรือธนาคารแห่งประเทศไทย...... ผมก็ยังเห็นว่า....แบ้งค์ชาติ..นั่นแหละตัวดีเลยหละ....... ผู้ว่าการแบ้งค์ชาติ นั้น เป็นประธานกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาสถาบันการเงิน...อีกตำแหน่งหนึ่งด้วย... และกองทุนฟื้นฟูฯก็ไปตั้งบสส. หรือบริษัทบริหารสินทรัพย์ชื่อต่าง ๆ ขึ้นมา...แล้ว บสส.เหล่านั้น..ก็ไปนำเอาสินทรัพย์ที่มีปัญหาจากธนาคารหรือสถาบันการเงินต่าง ๆ มาขูดรีด...ทุกวิถีทางเอาจากคนไทยตาดำ ๆ ที่เป็นลูกหนี้....ของธนาคารหรือสถาบันการเงินต่าง ๆ แล้วประสบเคราะห์กรรมทางเศรษฐกิจ... บริษัทบริหารสินทรัพย์ฯ จึงมีสถานะเป็นสถาบันการเงินของรัฐ เพราะมีกระทรวงการคลังถือหุ้นทั้งหมด ..คณะกรรมการบอร์ดใหญ่ก็ได้แก่ปลัดกระทรวงการคลังและ อธิบดีฯต่าง ๆ ในกระทรวงการคลัง ส่วนผู้จัดการ หรือผองส่วนต่าง ๆ ก็คือ คนที่มาจากธนาคารแห่งประเทศไทยแทบทั้งสิ้น.... โดยหนี้สินที่ลูกหนี้คงค้างชำระ..ซึ่งอาจเหลือเพียง 25 % ของยอดเงินกู้เดิม แต่ลูกหนี้ต้องถูกบริษัทบริหารสินทรัพย์ฯขูดรีดไปสูงถึง 8-900 % ของหนี้ค้างชำระทีเดียว.... หากไม่ให้ก็จะถูกฟ้องขับไล่ให้โยกย้ายออกจากบ้านตนเอง.....หรืออาจถูกจับตัวจำขังฐานขัดคำสั่งศาลได้...... ปีศาจ...ทั้งน้าน....แหละคุณเอ้ย.......!!!!!!( อ้อ..ผู้ว่าแบ้งค์ชาติ กินเงินเดือน ๆ ละกว่า 2 ล้านบาท...ส่วนรองฯ หรือตำแหน่งอื่น ๆ ก็ลดหลั่นกันลงมา....แต่หากทำงานผิดพลาดทำให้ประเทศเจ้งบ้งเสียหายไปนับหลายแสนล้าน....ก็ไม่ต้องชดใช้ใด ๆ....เพราะไม่มีปัญญาชดใช้....)ข้าพเจ้าขอยืนกรานในการร้องเรียนต่อไปจนกว่าท่านหรือท่านผู้ว่าการท่านใหม่จะให้ความเป็นธรรมทั้งการร้องเรียนเรื่องส่วนตัวและเรื่องส่วนรวม ขอให้ท่านกรุณามีคำสั่งการให้ส่วนงานหรือหน่วยที่เกี่ยวข้องทั้งหมดให้ความร่วมมือในการช่วยแก้ไขปัญหาตามหนังสือร้องเรียนและ/หรือข้อมูลดังที่ปรากฏอยู่ใน CD ที่ข้าพเจ้ามอบให้ ข้าพเจ้าหวังว่าท่านจะกรุณาให้ได้คำตอบที่ชอบด้วยเหตุผลและชอบธรรมโดยเร็วด้วย
|
|
Tags: |
|
![]() |
|
|
ครม.มีมติเห็นชอบ “ประสาร” นั่งเก้าอี้ผู้ว่าการ ธปท.คนใหม่ตามคาด http://www.manager.co.th/Business/ViewNews.aspx?NewsID=9530000092759 ดูวีดีโอประกอบจาก Manager Multimedia โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 6 กรกฎาคม 2553 13:56 น. คลิกที่ภาพเพื่อดูขนาด ใหญ่ขึ้น นายประสาร ไตรรัตน์วรกุล ที่ประชุม ครม.มีมติเห็นชอบ “ประสาร” นั่งเก้าอี้ผู้ว่าการ ธปท.คนใหม่ตามคาด “ธาริษา” เชื่อผู้ว่าการ ธปท.คนใหม่ทำงานเป็นอิสระ ไม่มีการเมืองแทรก พร้อมยอมรับกระบวนการสรรหาโปร่งใสทุกขั้นตอน และขอฝากการทำงานให้ยึดผลประโยชน์ของชาติเป็นหลัก
มีรายงานข่าวว่า การประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันนี้ ที่ประชุม ครม.มีมติเห็นชอบให้ นายประสาร ไตรรัตน์วรกุล ดำรงตำแหน่งผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) คนใหม่ แทนนางธาริษา วัฒนเกส ผู้ว่าการ ธปท.คนปัจจุบัน จะเกษียณอายุในเดือนกันยายน 2553 นี้ ซึ่งเป็นไปตามที่คนในแวดวงการเงินคาดการณ์เอาไว้
สำหรับประวัติของนายประสาร เกิดเมื่อวันที่ 20 สิงหาคม 2495 ปัจจุบันอายุ 58 ปี จบการศึกษาปริญญาตรีวิศกรรมศาสตรบัณฑิต สาขาไฟฟ้า เกียรตินิยมอันดับ 1 จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และได้รับทุนมูลนิธิอานันทมหิดลศึกษาต่อปริญญาโท และปริญญาเอกด้านบริหารธุรกิจที่มหาวิทยาฮาร์วาร์ด สหรัฐอเมริกา
นายประสารเริ่มงานที่ ธปท.เมื่อปี 2526 จนถึง ปี 2535 ก่อนย้ายมาทำงานที่สำนักงานกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ในตำแหน่งรองเลขาธิการระหว่างปี 2535-2542 และขึ้นเป็นเลขาธิการ ก.ล.ต.ในปี 2542-2546 ปัจจุบันดำรงตำแหน่งกรรมการผู้จัดการธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) และประธานสมาคมธนาคารไทย
ด้าน นางธาริษากล่าวว่า การที่ ครม.มีมติเลือกผู้ว่าฯ ธปท.คนใหม่นั้น ตนเองไม่รู้สึกกังวลว่า การเมืองจะเข้ามาแทรกแซงการทำหน้าที่ของผู้ว่าฯ ธปท. เพราะเชื่อว่าผู้ว่าฯ ธปท.คนใหม่จะสามารถทำงานอย่างเป็นอิสระ
นางธาริษากล่าวเพิ่มเติมว่า กระบวนการสรรหาที่ผ่านมาก็เป็นไปอย่างโปร่งใส และรายชื่อของบุคคลที่เข้ารับการสรรหาทุกคนเป็นบุคคลที่มีความสามารถและมี ข้อดีข้อเสียแตกต่างกันไป แต่เชื่อว่าทุกคนจะประสานงานได้
นางธาริษายอมรับว่า นายประสารมีประสบการณ์หลายด้าน แต่ต้องระวังเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อน พร้อมขอฝากให้การทำงานของผู้ว่าการฯ คนใหม่ ยึดผลประโยชน์ของชาติเป็นหลัก และเท้าติดดิน
|
|
Tags: |
|
![]() |
|
|
ความเหมาะสมผู้ที่จะมารับตำแหน่งผู้ว่าการ ธนาคารแห่งประเทศไทย โดย สุทธิพงษ์ ปรัชญพฤทธิ์ 10 มิถุนายน 2553 13:44 น. http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9530000080079&utm_source=twitterfeed&utm_medium=twitter .. ความเสียหายของตลาดทุน ตลาดเงิน และตลาดเงินตรา ช่วงที่ ผ่านมา จุดเริ่มต้นอยู่ที่ตลาดหุ้น กลต.ถูกตั้งขึ้นในปี 2535 มี ดร.ประสาร ไตรรัตน์วรกุล เป็นรองเลขาธิการ กลต. ได้นำ ระบบ Maintenance Margin & forced sell มาใช้ในปี 2536 ต่างชาติเห็นทางที่จะได้ประโยชน์ จึงปั่นตลาดหุ้นขึ้น SET ขึ้นสูงสุดในต้นปี 2537 ที่ 1,750 จุด จากนั้นก็มีการเทขายอย่างรุนแรง ทำให้ตลาดหุ้นพังทลายมา มีการบังคับขายหุ้นนักลงทุนไทยอย่างบ้า คลั่ง ทำให้สภาพคล่องของระบบเหือดแห้ง ค่าเงินบาทเสียหาย ต้องลอยค่าเงินบาทในที่สุด ต้องเข้าไอเอ็มเอฟเป็นครั้งที่ 2 ประเทศไทยพ่ายแพ้ 2 ด้าน คือ
1) ไม่สามารถรักษาค่าเงินบาทไว้ได้ 2) ไม่สามารถรักษาฐานะสถาบันการเงินไว้ได้ ทำให้ภาคการผลิตจริงล้มลงแทบหมดประเทศ ทางการต้องตั้ง ปรส. บสท. มายึดสินทรัพย์ภาคการเงินและภาคการผลิตจริง รวมทั้งที่ดินของเกษตรกรทั่วประเทศถูกยึดเกือบ 40 ล้านไร่
.. ความเสียหายของตลาดทุน ตลาดเงิน และตลาดเงินตราช่วง ปัจจุบัน มีจุดเริ่มต้นที่ตลาดหุ้นเช่นเดียวกัน การ เปิดตลาดอนุพันธ์ เป็นช่วงที่ ธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล เลขา กลต. หรือช่วงปัจจุบัน ตลาดสินค้าเกษตรล่วงหน้า SET50 Index Futures SET50 Index Options Single Stock Futures และ Gold Futures เกิดขึ้นระหว่างปี 2547 – 2552 คนคุมการเงินโลกอย่าง World Fund ที่เข้าใจเรื่องนี้ รู้ทิศทางตลาด และปั่นตลาดได้ จะสามารถทำกำไรได้ทั้งขาขึ้นและขาลง (อ่านความเป็นมาของตลาดอนุพันธ์ที่ 35 ปีแห่งการพ่ายแพ้ทางการเงิน http://bit.ly/c0frSn )
การเปิดตลาดอนุพันธ์ เป็นที่มาของเงินไหลเข้าไทยอย่างท่วมท้น จากที่เก็งกำไรในตลาดหุ้นปกติอยู่แล้ว เป็นได้มาหาประโยชน์จากตลาดอนุพันธ์เพิ่มขึ้น
ระหว่างปี 2006-2009 หรือช่วงที่ตลาดหุ้นไทยเปิดตลาดอนุพันธ์ ทุนสำรองประเทศไทยเพิ่ม 118 เปอร์เซ็นต์ เทียบกับทุนสำรองจีนเพิ่ม 113 เปอร์เซ็นต์ ส่งผลให้เงินบาทไทยก็แข็งที่สุดในภูมิภาคอาเซียน
สภาพคล่องท่วมระบบ ก่อให้เกิดความเสียหายต่อระบบสูง ตลาด อนุพันธ์ทำให้เงินท่วมประเทศไทย ตลาดเงินเกิดความผิดปกติอย่างรุนแรง อัตราดอกเบี้ยเงินฝากและอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ ถ่างห่างกันมาก ประมาณ 5 - 6 เปอร์เซ็นต์ แทนที่จะเป็น 2 - 3 เปอร์เซ็นต์ ทำให้ผู้ฝากเงินรับดอกเบี้ยฝากอัตราต่ำ ทำให้ผู้กู้เงินจ่ายดอกเบี้ยกู้อัตราสูง
ปรากฏการณ์ ที่แสดงว่าไทยได้รับความเดือดร้อนจากเงินท่วมประเทศ
(1) วันที่ 19 ธันวาคม 2549 ทางการได้ออกมาตรการกันสำรองเงินทุนไหลเข้า 30 เปอร์เซ็นต์ มีผลให้ SET ตกวันเดียว 108 จุด มูลค่าตลาดหุ้นเสียหาย 8.1 แสนล้านบาท ก่อนที่จะมีการเปลี่ยนแปลงในเย็นวันเดียวกัน โดย ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังประกาศ “ในส่วนของการนำเงินเข้ามาลงทุนในหุ้น จะไม่มีการกันสำรองฯ 30 เปอร์เซ็นต์” เป็นการยอมจำนนต้อการแก้ปัญหาเงินท่วมประเทศครั้งแรก
(2) วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2553 ธปท.ออกมาตรการ 4 ข้อ เพื่อแก้ไขปัญหาสภาพคล่องล้นระบบ เช่น เพิ่มเงินลงทุนต่างประเทศอีก 20,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ จากที่เคยอนุมัติให้ลงทุนต่างประเทศก่อนหน้านี้ 30,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ รวมเป็น 50,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ฯลฯ
มันไม่ใช่ความเสียหายส่วนบุคคล เป็นความเสียหายของระบบ มันจึงเป็นความเสียหายที่สูงมาก มาตรการทั้ง 2 ครั้งนี้ เป็นมาตรการที่แก้ปัญหาที่ปลายเหตุ ประเทศไทยมักจะแก้ปัญหาที่ปลายเหตุแทบทุกเรื่อง เพราะไม่แก้ที่ต้นเหตุของปัญหา ปัญหาและความเสียหายจึงยังคงอยู่ แม้ ทุกวันนี้ก็ยังไม่มีใครทราบว่า ต้นเหตุอะไรที่ทำให้เงินท่วมประเทศไทย หรือไม่ทราบด้วยซ้ำว่าเงินท่วมประเทศ
ประเทศไทย ไม่เคยประสบผลสำเร็จในการแก้ปัญหา ไม่ว่าความเสียหายของตลาดทุน ตลาดเงิน และตลาดเงินตราในช่วงที่ผ่านมาและในช่วงปัจจุบัน ที่เห็นว่ามีการแก้ ปัญหา ไม่ใช่แก้ปัญหา เป็นเพียงการยอมจำนนต่อปัญหามากกว่า ได้แต่รักษาปัญหาตามอาการแต่อย่างเดียว เกิดความเสียหายแบบสุดกู่ กระทั่งต้องเข้าไอเอ็มเอฟมาแล้วถึง 2 ครั้ง
เงินที่ท่วมประเทศไทยขณะนี้ก็กำลังทำความเสียหายให้ประเทศ ไทยอยู่ตลอดเวลา
ตลาดหุ้น คือตลาดอบายมุขกองใหญ่ที่สุดในประเทศไทยและในโลก ผู้เขียนได้ยินคำว่าพัฒนาตลาดทุนครั้งใด ขนลุกทุกครั้ง เพราะว่าเป็นการพัฒนาตลาดอบายมุข
ตลาดทุน ตลาดเงิน และตลาดเงินตรามีความสัมพันธ์กันอย่างใกล้ชิด ดังตัวอย่างของจริงที่นำเสนอข้างต้น ความเป็นไปของโลกปัจจุบันเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก จนยากที่นักวิชาการทั่วไปจะตามทัน การค้าของโลกทุกวันนี้ไม่ได้ค้าขายสินค้าจริง (Real trade) อย่างเดียว แต่มีการค้าขายกระดาษ (Paper trade) ด้วย
วาระตำแหน่งผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยคนปัจจุบัน นางธาริษา วัฒนเกส จะสิ้นสุดลงในเดือนกันยายนนี้ จะมีการหาคนใหม่มาดำรงตำแหน่งแทน
ตำแหน่งผู้ว่าการธนาคารกลางของประเทศ เป็นตำแหน่งที่สำคัญ ที่จริงแล้วใครมารับตำแหน่งผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยไม่สำคัญ ขอให้มีข้อมูล ความรู้ ความเข้าใจในงานของธนาคารแห่งประเทศไทย ก็จะป้องกันความเสียหายที่จะเกิดขึ้น และนำความมั่นคงมาสู่ตลาดตลาดทุน ตลาดเงิน และตลาดเงินตราของประเทศได้
มีข่าวว่า ประสาร ไตรรัตน์วรกุล และ ธีระ ชัย ภูวนาถนรานุบาล ไม่ใครก็คนใดคนหนึ่ง จะถูกเลือกมานั่งในตำแหน่งผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยคนใหม่ ข้อมูลที่นำเสนอข้างต้น บอกว่าคนทั้งสองไม่ได้แสดงว่ามีความรู้ความเข้าใจถึงความสัมพันธ์ของตลาดทุน ตลาดเงิน และตลาดเงินตรา ก่อให้เกิดความเสียหายต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศที่ร้ายแรงมากมาแล้ว จะเลือกใครเป็นผู้ว่าแบงก์ชาติคนใหม่ก็ว่ากันไป แต่ผู้เขียนเห็นว่าทั้ง 2 ท่านนี้ไม่เหมาะที่จะนั่งในตำแหน่งผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย
|
|
Tags: |
|
![]() |
|
|
ประสารนั่งผู้ว่าธปท.คนใหม่แทนธาริษา http://news.sanook.com/949095-ประสารนั่งผู้ว่าธปท.คนใหม่แทนธาริษา1.html มติ ครม. แต่งตั้ง ประสาร ไตรรัตน์วรกุล เป็น ผู้ว่า ธปท. คนใหม่ แทน ธาริษา ที่จะเกษียณอายุ
รายงานข่าวจากที่ประชุม ครม.เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีได้แต่งตั้ง นายประสาร ไตรรัตน์วรกุล กรรมการผู้จัดการใหญ่ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) เป็นผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยคนใหม่ โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 1ต.ค. 2553 นี้ แทน นางธาริษา วัฒนเกส ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยคนปัจจุบัน ที่จะเกษียณอายุลงในสิ้นเดือนกันยายนนี้
ซึ่งการแต่งตั้งในครั้งนี้ เป็นไปตามที่ นายกรณ์ จาติกวาณิช รมว.การคลัง ได้เสนอรายชื่อให้ ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี พิจารณาเพียง 1 รายชื่อ จากผู้สมัครทั้งหมด 4 คน อาทิ นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล เลขาธิการ กลต. นายบัณฑิต นิชถาวร รองผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย นายพิสิฐ ลี้อาธรรม คณบดี คณะเศรษฐศาสตร์ ม.เชียงใหม่และอดีต รมว.คลัง และคนสุดท้ายคือ นายประสาร ไตรรัตน์วงกุล
|
|
Tags: |
|
![]() |
|
|
"อภิสิทธิ์"เรียก"ประสาร"เข้าพบสุดท้ายการเมืองก็แทรกแซง"แบงก์ชาติไปเรียบร้อยซะแล้ว!!!! http://www.pantip.com/cafe/sinthorn/topic/I9441822/I9441822.html
http://www.pantip.com/cafe/sinthorn/topic/I9395818/I9395818.html
................วันนี้มีกระแสข่าวออกมาจากสื่อ นสพ.หลายฉบับว่า เย็นย่ำของวันที่ 5 ก.ค.53 "ประสาร ไตรรัตน์วรกุล" กรรมการผู้จัดการ บมจ.ธนาคารกสิกรไทย ซึ่งเป็นธุรกิจใน ตระกูลล่ำซำ เคยมีผลงานสมัยเป็น "เลขาธิการก.ล.ต." คือ เป็นผู้สั่งร้องทุกข์กล่าวโทษ "ตระกูลชินวัตร" กรณีขายหุ้นบมจ. ชิน คอร์ปอเรชั่น ในข้อหาแจ้งข้อมูลเท็จ .....ได้ถูก"อภิสิทธิ์"เรียกเข้าพบ!!!!
...............รู้ทั้งรู้ว่า "แบงก์ชาติ"น่ะควรที่จะต้องติดป้ายเป็น"เขตปลอดการเมือง" เพราะเก้าอี้"ผู้ว่าแบงก์ชาติ" มีความสำคัญมากแม้แต่ รมว.คลังก็ไม่สามารถที่จะไปก้าวก่ายสั่งการได้ เพราะถ้าประเทศไหนที่"ผู้ว่าการแบงก์ชาติ"อยู่ในอาณัติของ รมว.คลังแล้วละก็ ความน่าเชื่อถือก็จะหมดไปทันที การกำหนดนโยบายทางการเงินการคลังก็จะอยู่ในกำมือของรัฐบาลและนักการเมืองอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด.....
.............ยิ่งตัวเต็งอย่าง "ประสาร" แล้วนั้นขณะนี้ก็กำลังนั่งบริหารผลระโยชน์ทางธุรกิจให้กับ "ตระกูลล่ำซำ" ซึ่งเป็นตระกูลที่สำคัญกับ"พรรคประชาธิปัตย์"
.............ไม่แค่นี้"ล่ำซำ"กับ "จาติกวณิช" ก็ เนื้อเดียวกัน อย่าลืม"คุณแม่"ของ "กรณ์"ก็ มาจาก "ตระกูล ล่ำซำ" และตัวของ"กรณ์"เอง ก็เป็นเสมือนญาติ"อภิสิทธิ์"ไปแล้วยิ่งภรรยาของ"กรณ์"ก็มาจากต้นตระกูลเดียวกับมารดาของ"อภิสิทธิ์"....... ซึ่งคนทั่วไปเรียกว่าวงศาคณาญาติกัน
...........ตอนนี้ทำให้คนทั่วไปเข้าใจได้ว่า วงการการเมืองได้มีการเลือกผู้บริหารผลประโยชน์ให้กับธุรกิจของคนในวงศาคณาญาติ โดยอาศัยความใกล้ชิดนักการเมืองแนบแน่นมานั่งเก้าอี้ ผู้ว่าธปท.คนใหม่ซึ่งเป็นหน่วยงานที่กำกับดูแลเรื่องเกี่ยวกับการเงินการทอง และบริษัทที่ประกอบการธุรกิจทางการเงิน ซึ่งก็มีหลายบริษัทและเป็นบริษัทคู่แข่งของ"ว่าที่ ผู้ว่าธปท.คนใหม่" หลายบริษัทซะด้วย ทำเอาคนในวงการธุรกิจเงิน ๆทอง ๆร้อน ๆหนาว ๆกันว่า เมื่อมานั่งควบคุมดูแลธุรกิจเงิน ๆทอง ๆ ก็เห็น "ความลับทางธุรกิจ"ของบริษัทคู่แข่งอย่างหมดเปลือกทุกเรื่อง ซึ่งก็ไม่แฟร์สำหรับบริษัทคู่แข่งที่เสี่ยงต่อการถูก"อินไซต์ข้อมูล"ได้ ....
........... ดร.ป๋วย ถึงต้องพูดเสมอว่า ความรู้คู่คุณธรรม ของคนที่จะคัดเลือกผู้ว่าและคนที่จะมาเป็นผู้ว่าแบงก์ชาติจำเป็นและสำคัญมากขนาดไหน
.............แต่ก็อย่างว่าอะไรก็เกิดขึ้นได้ในรัฐบาลยุคนี้ ไม่อย่างนั้นจะไม่มีข่าวนี้ปรากฏบนหน้านสพ. วันนี้ ว่า "สถิตย์ ลิ่มพงศ์พันธุ์" ปลัดกระทรวงการคลัง ได้เสนอชื่อผู้ผ่านการคัดเลือกจากคณะกรรมการสรรหาผู้ว่าการ ธปท. 2 ชื่อได้แก่ "ประสาร" และ"ธีระชัย ภูวนารถนรานุบาล" ให้ "อภิสิทธิ์-กรณ์ จาติกวณิช" ตัดสินใจ ซึ่งในเนื้อข่าวรายงานว่ามีการคาดการณ์กันว่า "อภิสิทธิ์"น่าจะเลือก "ประสาร"เป็นผู้ว่าธปท.!
............นอกจากนี้รายงานข่าวจากผู้บริหารของพรรคประชาธิปัตย์ ระบุว่า คนในพรรคจำนวนหนึ่งอยากให้"อภิสิทธิ์-กรณ์ "พิจารณาบุคคลที่มีความรู้จักมักคุ้นกับพรรคประชาธิปัตย์และคนในรัฐบาลมากกว่าเพื่อจะได้ไม่เกิดข้อขัดแย้งกันในอนาคตและสามารถช่วยให้นโยบายด้านเศรษฐกิจการเงินของรัฐบาลเกิดความคล่องตัวมากขึ้น อย่างไรก็ตามดูเหมือนนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังจะมีความเห็นไปคนละทางกับผู้บริหารในพรรค โดยคาดว่าทั้ง 2 คนจะเห็นร่วมกันว่า "ประสาร" มีความเหมาะสมที่สุด!!
...........ทุกอย่างถึงได้เรียบร้อยโรงเรียนจีนไปยังงัยหล่ะ...คิดถึงสมัยที่"อภิสิทธิ์"เป็นฝ่ายค้านแล้วกล่าวหา"ทักษิณ"มาตลอดว่า ชอบแทรกแซงหน่วยงานอิสระนั้นนี้ มีผลประโยชน์ทับซ้อน ในวงศาคณาญาติ......ทำเอาคนเคลิบเคลิ้มตามว่า จริงด้วยแฮะ แต่บัดนี้ไหง "ว่าแต่เขาอิเหนาเป็นเอง"ซะหล่ะ?????
......... กฏเหล็ก 9 ข้อของ"อภิสิทธิ์"ที่มีไว้ใช้เป็นเข็มทิศในการบริหารบ้านเมืองถึงได้กลายเป็นเศษเหล็กที่ไร้ค่า ในวันนี้ !!!!! จากคุณ: Pagan เขียนเมื่อ: 6 ก.ค. 53 11:06:46 ถูกใจ: FIREHAWK, TauRuZ_PaSSeRBy, หมาเห่าดาวเทียม, iamdanai, copilot
|
|
Tags: |
|
![]() |
|
|
โดย"มารยาท"แล้ว"ประสาร"เหมาะสมที่ จะชิงตำแหน่งผู้ว่าธปท.หรือไม่? http://www.pantip.com/cafe/sinthorn/topic/I9395818/I9395818.html
..."ประสาร ไตรรัตน์วรกุล "ได้เป็นเลขาธิการ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์ และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) คนที่ 3 เมื่อปี 2542-2546 ตอนรับตำแหน่งคราวนั้นมีอายุเพียงแค่ 47 ปี ...ภารกิจของเค้าตอนนั้นก็คือ ....จัดระบบระเบียบ ที่เข้มงวดให้กับตลาดทุนไทย....
...."ประสาร" กล่าวได้ว่าเป็นคนที่มีความใกล้ชิดกับ "เอกกมล คีรีวัฒน์" อดีตเลขาธิการ ก.ล.ต.คนแรก ค่อนข้างมาก (ปัจจุบัน"เอกกมล" เป็น 1 ในคณะกรรมการสรรหา ผู้ว่าฯ ธปท.)เพราะตั้งแต่เรียนจบปริญญาเอก จากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด สหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นสถาบันเดียวกับ "เอกกมล" ก็กลับมาทำงานใช้ทุน ที่ธปท. และ"ประสาร"ก็ได้ทำงานอยู่ในสายงานกำกับ และตรวจสอบที่นี่ซึ่งเป็นสายงานเดียวกับ"เอกกมล"มาเกือบตลอด....
....จาก นั้น "เอกกมล"ก็ได้ดึง "ประสาร" ออกจากแบงก์ชาติ มารับตำแหน่ง "รองเลขาธิการ ก.ล.ต." เมื่อปี2535 ทำให้หลายคนมองว่าเป็นการสร้างทายาทต่อเนื่องไว้ในหน่วยงานที่ตนเองเป็นผู้ บุกเบิก ....และชื่อของ "ประสาร"ก็เคยได้รับการเสนอขึ้นเป็นแคนดิเดท "เลขาธิการ ก.ล.ต."มาครั้งหนึ่งแล้ว แต่คราวนั้น หลายคนมองว่าด้วยวัยเพียง 40 ต้นๆ อาจทำให้"ประสาร" มีความอาวุโสน้อยเกินไป น่าจะให้เวลาในการสะสมบารมีต่อไปก่อนอีกสักระยะหนึ่ง เลขาธิการ ก.ล.ต.คนที่ 2 เลยชื่อว่า "ปกรณ์ มาลากุล ณ อยุธยา" ....(ดึงข้อมูลจาก : http://www.gotomanager.com/news/details.aspx?id=576)
...."ประสาร " ทำงานใน ก.ล.ต.มา 12 ปี โดย 4 ปีสุดท้ายก็ได้ขึ้นเป็นเลขาธิการฯ และหมดวาระการทำงานเดือนธันวาคม 2546 และไม่ขอต่อวาระการทำงาน....
..... "ประสาร"เคยพูดไว้ว่า "...ตำแหน่งเลขาธิการก.ล.ต. ต้องมีผลประโยชน์เข้ามาเกี่ยวข้อง ดังนั้น การมีวาระถือเป็นเรื่องดี เพราะไม่อย่างนั้นสถาบันอาจจะต้องเสียไปด้วย...."
.....ปัจจุบัน "ประสาร"นั่งบริหารงานในตำแหน่ง " กรรมการผู้จัดการ"ให้กับ ธนาคารกสิกรไทย แห่ง ตระกูลล่ำซำ ซึ่ง ซึ่ง1ในสมาชิก"ตระกูลล่ำซำ"ก็เป็นบุคคลสำคัญใน"พรรคประชาธิปัตย์" ที่สำคัญ "ประสาร" สมัยที่เป็น "เลขาธิการก.ล.ต." ได้เป็นผู้สั่งร้องทุกข์กล่าวโทษ "ตระกูลชินวัตร" กรณีขายหุ้นบมจ. ชิน คอร์ปอเรชั่น ในข้อหาแจ้งข้อมูลเท็จ
...วันนี้ "ประสาร"ได้เป็น 1 ในผู้สมัครชิงเก้าอี้ "ผู้ว่าฯ ธปท.คนใหม่" โดยมี "กรณ์ จาติกวณิช"เป็น รมว.คลัง และเป็นผู้เลือก "ผู้ว่าการธปท.คนใหม่"เสนอเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรีพิจารณา .....
....จาก เดิมมีกระแสข่าว(ประชาชาติธุรกิจ)ระบุว่า"ประสาร"ไม่ได้ยื่นใบสมัครแต่ได้มา ตัดสินใจในนาทีสุดท้าย ก็มีการตั้งข้อสงสัยว่า "คน"ที่ทำให้"ประสาร"ตัดสิจในลงสมัครคือใคร ?
.... แต่ไม่ว่าใครก็ตามที่มีส่วนในการกระตุ้นให้ "ประสาร"ตัดสินใจลงสมัครแข่งขันครั้งนี้ .......ส่วนหนึ่งต้องอยู่ที่ตัวของ"ประสาร"เองด้วยว่า วันนี้ "เจตนารมณ์" เปลี่ยนไปจากครั้งที่เข้ามาดำรงตำแหน่งเลขาธิการ ก.ล.ต. ที่อยาก"เสริมสร้างบรรษัทภิบาล"ให้เข้มแข็ง โปร่งใส หรือเปล่า ? ...การมาอยู่ใน ธปท.ก็เจตนารมณ์ไม่น่าจะต่างกันเท่าไรนัก.....
....เพราะ ขณะที่ตัดสินใจยื่นใบสมัครชิง" ผู้ว่าฯธปท.คนใหม่" แต่ตัวเองยังนั่งเป็นผู้บริหารบริหารบริษัทการเงินที่มีการซื้อขายหุ้นและ มีคู่แข่งในตลาดหลักทรัพย์ฯมากมาย และทำธุรกิจใน "ตลาดเงิน"ด้วย
.....หาก "ประสาร"ได้รับคัดเลือกเป็น "ผู้ว่าฯ ธปท.คนใหม่" โอกาสที่จะรู้เห็นประโยชน์จาก"ตลาดเงิน" มากกว่าบริษัทคู่แข่งของ "กสิกรไทย" แค่ไหน ?
.....มั่นใจแค่ไหนว่าจะไม่มีเรื่องของ "ผลประโยชน์ทับซ้อน"เกิดขึ้น ?
.....หากเกิดแล้วใครจะตรวจสอบเพื่อ ให้นักลงทุนมีความมั่นใจ? ในเมื่อ"กสิกรไทย" ก็เป็นธุรกิจที่ค้าขายเกี่ยวกับเงิน ๆทอง ๆ .....คนที่ควบคุมทั้ง ธปท.และ ก.ล.ต. ก็ มาจากรัฐบาล!!
......ถึงต้องถามว่า โดย"มารยาท"แล้ว"ประสาร"เหมาะสมที่จะชิงตำแหน่งผู้ว่าธปท.หรือไม่?
.....แต่ สำหรับผมแล้ว ถ้าพูดถึงคุณสมบัติที่เป็นความรู้ความสามารถจะเหมาะสมมากเพราะบ้านเมืองเรา ต้องการคนเก่ง รอบรู้รอบด้านเข้ามาบริหารจัดการ ดูแลตลาดเงิน แต่ด้วย"จรรยาบรรณ"และ"มารยาท"แล้ว ถ้าเป็นผมพ้นวาระจากตำแหน่ง"เลขาธิการก.ล.ต." ก็จะเว้นวรรคไปไปทำอาชีพอื่นที่ไม่เกี่ยวข้องกับอาชีพเดิมซัก 3-5 ปีแล้วค่อยรับงานที่เกี่ยวข้องทางด้านการเงินจากบริษัทเอกชน และถ้าจะสมัครชิงตำแหน่ง "ผู้ว่า ธปท." ก็จะเว้นวรรคจากเก้าอี้ผู้บริหารบริษัทออกไปซัก 3-5 ปี แล้วค่อยมาสมัครชิงเก้าอี้ "ผู้ว่าฯธปท. คนใหม่"........
....แต่ สำหรับ "ประสาร"แล้วผมว่าคงหา"จรรยาบรรณ"และ"มารยาท"ยากพอ ๆกับการติดตามตัว "กี้ร์" อริสต์มันต์ มาดำเนินคดี ฮ่า ๆ! จากคุณ : Pagan เขียน เมื่อ : 23 มิ.ย. 53 13:31:19
|
|
Tags: |
|
![]() |
|
|
ถอดโจทย์ผู้ว่าฯแบงก์ชาติ เสาหลักเศรษฐกิจ...ภารกิจเพื่อผลประโยชน์ชาติ http://www.thairath.co.th/content/eco/95421
ฐาน ที่เป็นหนึ่งใน "เสาหลัก"ค้ำยันระบบเศรษฐกิจของประเทศ!! การแต่งตั้ง "ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)" ทุกครั้ง จึงถูกจับตามองเป็นพิเศษ เช่นเดียวกับครั้งนี้ ซึ่งที่ประชุม ครม.มีมติเลือก "ประสาร ไตรรัตน์วรกุล" กรรมการผู้จัดการธนาคารกสิกรไทย และประธานสมาคมธนาคารไทย เป็น "ผู้ว่าการ ธปท." คนใหม่ นายประสาร สำเร็จการศึกษาวิศวกรรมศาสตรบัณฑิต (เกียรตินิยมอันดับ 1) จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และได้รับทุนมูลนิธิอานันทมหิดล ไปเรียนปริญญาโทและเอกสาขาบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด สหรัฐฯ กลับมาทำงานที่ ธปท. และได้ร่วมแก้ปัญหาการล้มของสถาบันการเงินช่วง "ทรัสต์ 4 เมษา" เป็นหนึ่งในทีมบุกเบิกจัดตั้งสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลัก ทรัพย์แห่งประเทศไทย (ก.ล.ต.) และขึ้นตำแหน่งสูงสุดในฐานะเลขาธิการ ก.ล.ต. ก่อนจะผันตัวเองมาเป็นกรรมการผู้จัดการธนาคารกสิกรไทย ส่งผลให้มีกระแสวิพากษ์วิจารณ์ถึงความเหมาะสม การโอนเอียงไปข้างใดข้างหนึ่งและผลประโยชน์ทับซ้อน!!! เพราะนายประสาร เพิ่งลุกจากเก้าอี้ของนายธนาคาร และประธานสมาคมธนาคารไทย ขณะที่ก้าวขึ้นมาเป็นผู้ว่าการ ธปท.ในฐานะผู้คุ้มกฎ ทำหน้าที่กำกับดูแลระบบการเงิน และสถาบันการเงิน ให้สนับสนุนการขยายตัวของเศรษฐกิจ และให้บริการทางการเงินกับประชาชนคนไทยอย่างเท่าเทียม ทั่วถึง และเป็นธรรม
อย่าง ไรก็ตาม หลังจากที่นายกรณ์ จาติกวณิช รมว.คลัง ระบุถึงเหตุผลสำคัญ 13 ข้อ ที่ทำให้เขาตัดสินใจเลือก นายประสาร ขึ้นเป็นผู้ว่าการ ธปท.คนใหม่ ผ่านช่องทางโซเชียลเน็ตเวิร์ก อย่างเฟซบุ๊ค ข้อกังขาต่างๆ ของนายประสาร ก็เป็นอันตกไป โดยเฉพาะเมื่อนายกรณ์ระบุว่า นายประสารเป็นผู้มีความซื่อสัตย์สุจริตชนิดที่ไม่เคยมีตำหนิ มีความเข้าใจลึกซึ้งในระบบเศรษฐกิจไทยและโลก มีประสบการณ์บริหารองค์การให้เป็นองค์กรแห่งความรู้ และความแน่วแน่ในการรักษาหลักความเป็นอิสระของธนาคารชาติ ทั้งยังสามารถตัดสินใจเพื่อประโยชน์ของประเทศ ในลักษณะที่ไม่ยอมรับการกดดันโดยนักการเมืองได้ด้วย
นอกจากนี้ นายประสารยังมีคุณสมบัติของการเป็นผู้สามารถตัดสินใจได้ชัดเจน และในระยะเวลาที่เหมาะสม มีความเข้าใจในวิธีการรักษาเสถียรภาพระบบการเงิน สนับสนุนการเติบโตในระยะยาว ความมุ่งมั่นที่จะบังคับ ควบคุมดูแลสถาบันการเงิน และปกป้องทุนสำรองฯ มีความยืดหยุ่น และเข้าใจผลการตัดสินใจในโลกของความเป็นจริง ไม่กลัวการเปลี่ยนแปลง ทั้งยังมีสามัญสำนึกที่ดีถึงประโยชน์ของประชาชน และสุดท้าย นายประสารเป็นคนดี มีจริยธรรม และจิตสำนึกอันดีงาม ทั้งหมดนี้การันตีได้ว่า นายประสาร เป็นมืออาชีพ และเหมาะสมที่จะทำหน้าที่สำคัญนี้ได้!!
อย่าง ไรก็ตาม ภายใต้สภาวะปัจจุบันของบ้านเรา ซึ่งยังไม่สามารถผ่านพ้นวิกฤตการณ์ไปได้ ขณะที่ปัญหาพื้นฐานโครงสร้างของเศรษฐกิจ การเมือง และสังคม ไม่ได้รับการแก้ไขที่เหมาะสม "ผู้ว่าการธนาคารกลางของไทย" ควรมีวิสัยทัศน์ และปรัชญาในการธำรงหลักการ ภาระและหน้าที่ "ธนาคารแห่งประเทศไทย" อย่างไร ขณะที่การดูแลรักษาเสถียรภาพของเศรษฐกิจ และการดำเนินนโยบายการเงิน ดอกเบี้ย และอัตราแลกเปลี่ยนควรไปในทิศทางใด เป็นสิ่งที่สังคมคาดหวังและต้องการคำตอบ
"ผู้ว่าการ ธปท." ของไทย อาจจะไม่ต้องเก่งขนาดมีตำนานผู้ว่าการธนาคารกลางแบบ "ปู่อลัน กรีนสแปน" ไม่ต้องได้รับการยอมรับมากมายเหมือน "เบน เบอร์นันเก้" ผู้ว่าการธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ในปัจจุบัน อาจไม่ต้องเด็ดขาดเหมือน "โจว เสี่ยวฉวน" ผู้ว่าการกลางธนาคารจีน หรือจัดการปัญหาได้อย่าง "ฌอง คล้อด ทริเช่ต์" ผู้ว่าการกลางธนาคารสหภาพยุโรป (อีซีบี) แต่จากการสอบถามของทีมเศรษฐกิจ สิ่งที่ทุกคน ไม่ว่าจะกูรูเศรษฐกิจมหภาค ตลาดการเงิน สถาบันการเงิน หรือตลาดทุน เห็นตรงกันว่าควรจะอยู่ในหัวใจของ "ผู้ว่าการแบงก์ชาติของไทย" ก็คือ "ต้องมีความกล้าหาญในการตัดสินใจ ดำเนินนโยบายโดยนึกถึงประโยชน์ของชาติ และประชาชนเป็นหลัก โดยไม่โอนเอียงไปด้านใด หรือหวั่นไหวต่อชื่อเสียง หน้าตา และสถานะของตนเอง รวมทั้งควรผลักดันให้ ธปท.ช่วยพัฒนาประเทศให้เติบโตยั่งยืนต่อไป"
อดีต ผู้ว่าการ ธปท. ท่านหนึ่งให้ความเห็นกับ "ทีมเศรษฐกิจ" ว่า "ในช่วงที่ผ่านมานั้น แนวนโยบายของ ธปท.เน้นรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจอย่างเดียว และเข้มงวดเกินไป จนกดเศรษฐกิจไทยไม่ให้ขยายตัวได้ดีเต็มศักยภาพ" แต่ในขณะนี้ ประเทศไทยอยู่ในภาวะเสื่อมถอย และเสียโอกาสในการเจริญเติบโต ทั้งจากผลของวิกฤติเศรษฐกิจโลกครั้งล่าสุด และความไม่มั่นคงและความรุนแรงที่มีผลจากวิกฤตการณ์ การเมืองในประเทศ
ธปท.จึง ควรกลับไปสู่แนวคิดและปรัชญาเดิม โดยเฉพาะอย่างยิ่งแนวทางของ ดร.ป๋วย อึ๊งภากรณ์ อดีตผู้ว่าการ ธปท. ซึ่งเห็นว่า ในประเทศที่กำลังพัฒนาอย่างประเทศไทย การดำเนินนโยบายของ ธปท.จะต้องช่วยพัฒนาประเทศ ด้วยการสนับสนุน และทำงานให้สอดคล้องกับแนวนโยบายพัฒนาประเทศของรัฐบาล โดยสร้างความสมดุลระหว่างการสนับสนุนการขยายตัวของประเทศ และการรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ เพื่อนำไปสู่เป้าหมายของการเจริญเติบโตอย่างมีเสถียรภาพและยั่งยืน
|
|
Tags: |
|
![]() |
|
|
ผู้ว่าการ ธปท.ต้องมีศิลปะในการสร้างความสมดุล (Art of Central Banking) เพราะหากขาดความสมดุล ประเทศชาติจะเกิดปัญหา ต้องรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ ขณะเดียวกันต้องไม่กดการขยายตัวของจีดีพี ต้องดูแลรักษาทั้งการลงทุนเก่าเพื่อเป็นฐานของประเทศ และการสร้างการลงทุนใหม่เพื่อให้ประเทศชาติขยายตัวต่อไปได้ โดยดูแลการไหลเข้าออกของเงินทุนให้เหมาะสม และไม่สร้างปัญหา ที่สำคัญที่สุด การตัดสินใจของผู้ว่าการ ธปท.ต้องมองอย่างรอบด้าน ตั้งแต่ประโยชน์ของประชาชนระดับล่างสุด ภาคธุรกิจเอกชน จนถึงประเทศชาติ ต้องตอบสนองและทันต่อสถานการณ์ทางเศรษฐกิจของประเทศ และของโลกที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว
"จะมองเพียงเสถียรภาพ หรือการขยายตัวเพียงด้านเดียวไม่ได้ และที่สำคัญที่สุด จะต้องมีดุลพินิจบนพื้นฐานความเป็นไปได้ที่จะเกิดขึ้นจริง ไม่ใช่ทำตามทฤษฎีหรือตัวเลข"
การแสดงเจตนารมณ์ของ ธปท. ที่จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ในการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ครั้งนี้ (14 ก.ค.) หรือครั้งต่อไป เพื่อช่วยให้ดอกเบี้ยที่แท้จริงกลับมาเป็นบวก และเพื่อสกัดกั้นเงินเฟ้อที่มีแนวโน้มสูงขึ้น ซึ่งเป็นการดำเนินนโยบายล่วงหน้า เพื่อให้การปรับขึ้นดอกเบี้ยทำได้อย่างค่อยเป็นค่อยไป อาจได้เสียงสนับสนุนจากนักเศรษฐศาสตร์บางส่วน และนายธนาคารพาณิชย์ แต่สำหรับความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญในด้านเศรษฐกิจมหภาค ระบบการเงิน และสถาบันการเงินของไทย แม้จะไม่ถึงกับขัดขวาง แต่ก็ติติงให้ ธปท.มองถึงระยะเวลาที่จะเริ่มปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยที่เหมาะสมกว่านี้ เพราะการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยในขณะนี้ ยังเปราะบางหลายด้าน และผันผวนสูงที่จะเผชิญผลกระทบระลอกใหม่ จากการฟื้นตัวที่ยังไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลก และสถานการณ์การเมืองภายในประเทศ
ทุกวันนี้ มีนักเศรษฐศาสตร์จำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ ที่มองเห็นการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก ขณะนี้ว่าเป็น "ภาพลวงตา" ที่เกิดขึ้นจากการผลิตเพื่อชดเชยสต๊อกสินค้าที่โลกใช้ไปในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ซึ่งทำให้การส่งออกขยายตัวสูง ขณะที่เริ่มมีความขัดแย้งในการกระตุ้นเศรษฐกิจโลก จากฝั่งยุโรปที่จำเป็นต้องลดขนาด และมาตรการการกระตุ้นเศรษฐกิจจากปัญหาหนี้สิน ระหว่างที่จีนกำลังขยายตัวร้อนแรงเกินต้องการ ดังนั้น ในแนวคิดที่มองภาพรวมของประเทศเป็นหลัก ในฐานะผู้ว่าการ ธปท. "การมองตัวเลขอัตราเงินเฟ้อ และตัวเลขการขยายตัวของเศรษฐกิจเพียงด้านเดียว จึงอาจไม่เพียงพอในการตัดสินใจแน่วแน่ ที่จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายทันที ขณะที่ชนชั้นกลางและชั้นล่าง ยังไม่ฟื้นจากสภาวะเศรษฐกิจที่ตกต่ำต่อเนื่องในหลายปีที่ผ่านมา" นโยบายอัตราแลกเปลี่ยน และการดูแลค่าเงินบาท ถือเป็นอีกหน้าที่ที่สำคัญมากของ ธปท. และเป็นนโยบายที่นักเศรษฐศาสตร์หลายฝ่าย โดยเฉพาะในหมู่ภาคธุรกิจเอกชนที่ได้รับผลกระทบ จากความผันผวนของค่าเงินบาทโดยตรง แสดงความไม่พอใจออกมา
การลดความ ผันผวนของค่าเงินบาท อาจจะได้รับการยอมรับ เพราะค่าเงินบาทในแต่ละช่วงค่อนข้างมีเสถียรภาพ แต่ในภาพรวมของการแข็งค่าของเงินบาท ตั้งแต่ปี 2549 ที่ผ่านมา ซึ่งเงินบาทแข็งค่าขึ้นอย่างต่อเนื่อง และรวดเร็วกว่า เมื่อเทียบกับค่าเงินในสกุลคู่แข่งทางการค้าของไทยนั้น ผู้คร่ำหวอดในแวดวงตลาดการเงิน และตลาดปริวรรตเงินตรา ให้ความเห็นว่า การดำเนินนโยบายอัตราแลกเปลี่ยนของไทยจะต้องมีความชัดเจน และไม่มีมาตรการหรือกฎเกณฑ์ที่สร้างความได้เปรียบหรือเสียเปรียบของฝ่ายใด เพราะในตลาดอัตราแลกเปลี่ยน หมายถึงกำไร หรือการขาดทุนมหาศาล ขณะเดียวกัน "อัตราแลกเปลี่ยนค่าเงินบาท" ไม่ควรเป็นเพียงค่าของเงินบาท หรือภาพที่สะท้อนเงินทุนไหลเข้าหรือไหลออกประเทศเท่านั้น แต่ควรจะเป็นอัตราแลกเปลี่ยนที่สร้างประโยชน์สูงสุดให้กับประเทศชาติ ในการเสริมสร้างความสามารถในการแข่งขันทางการค้าให้กับประเทศ"
ดัง นั้น ผู้ว่าฯแบงก์ชาติไม่ควรที่จะหน้าบาง หรือกลัวเสียงครหานินทาจากต่างชาติ หาก ธปท.จะดำ เนินการแทรกแซงหรือดูแลค่าเงินบาทของเราให้อ่อนค่าลง เพื่อประโยชน์ในการส่งออก และช่วยให้เกิดการขยายตัวของประเทศชาติ
"เพราะ หากมองไปในระดับสากล ทุกประเทศเองก็ทำอย่างเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็นธนาคารชาติจีน ที่ยืนหยัดให้เงินหยวนอ่อนค่า หรือการปล่อยเงินไหลไปลงทุนนอกประเทศจำนวนมหาศาลของธนาคารกลางญี่ปุ่น เพื่อหยุดการแข็งค่าของเงินเยน รวมถึงธนาคารกลางสหรัฐฯ ที่ใช้มาตรการทั้งทางด้านเศรษฐกิจและการเมือง กดดันให้เงินดอลลาร์อ่อนค่าเพื่อสนับสนุนการส่งออก แม้กระทั่ง ประเทศที่ประกาศตัวเป็นศูนย์กลางทางการเงินอย่างฮ่องกง ก็ยังใช้อัตราแลกเปลี่ยนตายตัวกับค่าเงินดอลลาร์มาตั้งแต่ปี 2527"
แสดง ให้เห็นว่า ในด้านนโยบายอัตราแลกเปลี่ยนฯ ทุกประเทศคำนึงถึงผลประโยชน์ และการใช้อัตราแลกเปลี่ยนช่วยสร้างการขยายตัวของประเทศของตนเป็นหลัก มากกว่าการดูกฎเกณฑ์หรือระบบสากล หน้าที่ ธปท.จึงควรดูแลค่าเงินบาท ภายใต้ระบบ "ลอยตัวอย่างมีการจัดการ" ให้สนับสนุนภาคการส่งออกของประเทศและช่วยให้เกิดการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย มากกว่านี้
|
|
Tags: |
|
![]() |
|
|
การ กำกับดูแลระบบสถาบันการเงิน โดยให้ประชาชนได้เข้าถึงบริการทางการเงินอย่างเท่าเทียมกัน รวมถึงการคำนึงถึงผลประโยชน์ประชาชนมากกว่าที่เป็นอยู่...เป็นโจทย์ใหญ่อีก ข้อของ ธปท.ยุคปัจจุบัน ทั้งความพยายามในการปรับลดส่วนต่างระหว่างอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ และเงินฝาก (สเปรด) ที่อยู่ในระดับสูง และการปรับลดค่าธรรมเนียมการให้บริการทางการเงิน หนทางที่จะทำให้สิ่งนี้เกิดขึ้นได้จริง โดยไม่บังคับหรือบิดเบือนตลาด คือ การสร้างการแข่งขันในการปล่อยสินเชื่อของสถาบันการเงินให้เพิ่มขึ้น และการลดต้นทุนที่ไม่จำเป็นของสถาบันการเงิน
เรื่องนี้กูรูทาง เศรษฐศาสตร์ ตลาดทุน และนายธนาคาร เห็นตรงกันว่า ต้นทุนที่ไม่จำเป็นที่สำคัญ ที่สถาบันการเงินไทยต้องแบกอยู่ทุกวันนี้ คือ มาตรฐานสากลซึ่งเข้มงวดเกินไป ที่ ธปท.เลือกที่จะใช้ในการกำกับสถาบันการเงินในปัจจุบัน อย่างเกณฑ์การกำกับสถาบันการเงิน ระยะที่ 2 ของธนาคารเพื่อการชำระหนี้ระหว่างประเทศ (บีไอเอส) หรือบาเซิล 2 ซึ่งหลายฝ่ายมองว่า เป็นการรักษาหน้าตาของ ธปท.ในองค์กรการเงินระหว่างประเทศ มากกว่าการเพิ่มประสิทธิภาพให้กับสถาบันการเงินอย่างแท้จริง ขณะที่ประเทศที่พัฒนาแล้วตัดสินใจไม่ใช้เกณฑ์ดังกล่าว ธปท.เดินหน้าสู่การใช้งานอย่างเข้มงวด ส่งผลให้ธนาคารพาณิชย์ต้องดำรงเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยง และกันเงินสำรองหนี้ในอัตราที่สูงมาก
ต้นทุนเหล่านี้ นอกเหนือจากทำให้ธนาคารพาณิชย์ต้องกดดอกเบี้ยเงินฝากให้ต่ำติดดิน และตั้งดอกเบี้ยเงินกู้ในอัตราที่สูง ซึ่งทำให้ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยห่างมากอย่างไม่เป็นธรรม รวมถึงคิดค่าธรรมเนียมที่แพงเกินจริง เพื่อหารายได้และกำไรแล้ว ยังกลายเป็นกับดักทางการเงิน ที่ทำให้ธนาคารพาณิชย์ระมัดระวังที่จะไม่ปล่อยกู้ใหม่มากเกินไป ขณะเดียวกัน จะต้องปรับเปลี่ยนปรัชญาการคิดความเสี่ยงด้านสินเชื่อที่มีมาช้านานที่ว่า คนจนเสี่ยงมาก คนรวยเสี่ยงน้อย คนยากจน หรือคนไม่มีหลักทรัพย์มาค้ำประกันสินเชื่อ ต้องเสียดอกเบี้ยในอัตราที่สูง เพราะมีความเสี่ยงที่สูงกว่า แต่เอกชนขนาดใหญ่ที่มีฐานะมั่นคง จ่ายดอกเบี้ยน้อยกว่าเพราะความเสี่ยงต่ำ
เรื่องนี้ ผู้ว่าการ ธปท.จำเป็นต้องมีความกล้าหาญ ทั้งในด้านการปรับลดกฎเกณฑ์ของ ธปท.ซึ่งเข้มงวดเกินความจำเป็นลง ขณะเดียวกัน ต้องกล้าที่จะเผชิญหน้ากับธนาคารพาณิชย์ที่จะกดดัน และล้วงลึกเข้าไปในต้นทุนที่แท้จริงทั้งในเรื่องอัตราดอกเบี้ยและค่า ธรรมเนียม เพื่อสร้างความเป็นธรรมให้สังคม เพราะเมื่อไรที่ ธปท.ยืนยันว่า จำเป็นต้องปล่อยให้เป็นไปตามกลไกตลาด เท่ากับว่า ธปท.กำลังสนับสนุนให้เกิดความเหลื่อมล้ำ และความไม่เป็นธรรมให้สังคมให้เพิ่มมากขึ้น สนับสนุนให้คนจนถูกเอารัดเอาเปรียบจากคนที่มีอำนาจเงินเหนือกว่า
ที่ สำคัญที่สุด ผู้ว่าการ ธปท.ที่ดีจะต้องเรียนรู้จากบทเรียนของ ธปท.ที่ผ่านมา เพราะหลายครั้งที่ประเทศเกิดวิกฤติเศรษฐกิจ ส่วนหนึ่งแนวนโยบายของ ธปท.ที่ผิดพลาด ไม่ว่าจะเป็นทิศทางอัตราดอกเบี้ย นโยบายอัตราแลกเปลี่ยน หรือการกำกับดูแลสถาบันการเงินมีส่วนช่วยซ้ำเติมวิกฤติให้หนักยิ่งขึ้น ท้ายที่สุด สำหรับผู้ว่าการ ธปท.คนใหม่ ซึ่งเคยเป็นลูกหม้อของ ธปท.มาก่อน และได้มีโอกาสไปทำงานด้านตลาดทุน มีโอกาสสัมผัสกับภาคเอกชน และได้ทำงานในระบบสถาบันการเงิน เชื่อว่า การทำงานในฐานะผู้ว่าการ ธปท.จะช่วยตอบปัญหาเหล่านี้ได้เป็นอย่างดี เพราะมีความรู้ ตระหนักถึงและเข้าใจการทำงานของธนาคารพาณิชย์ และภาคเอกชนเป็นอย่างดี แต่เมื่อเปลี่ยนหมวกมาเป็นผู้ว่าการ ธปท.แล้ว จำเป็นต้องพิสูจน์ตัวเองว่า จะทำหน้าที่ สำคัญยิ่งของประเทศนี้อย่างโปร่งใสเป็นธรรม และไม่โอนเอียงเข้าข้างใดข้างหนึ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งธนาคารพาณิชย์แห่งใดๆ หรือแม้แต่กระทั่งนักการเมืองที่แต่งตั้งตัวเองขึ้นมา เพราะต่อจากนี้ ทุกคนในประเทศกำลังจับตาคุณอยู่!!!
ทีมเศรษฐกิจ
|
|
Tags: |
|
![]() |
|
|
jrchai
ร้องKBank แกล้งเอาเปรียบมา5ปี+ร้องแบงค์ชาติและสคบ.กว่า3ปี+สนุก5เดือน เหมือนไร้ผล http://webboard.news.sanook.com/forum/3140735 ตอบ #6 เมื่อ: 22 มิ.ย. 10, 13:34 น ยังไม่จบเรื่องอีกหรอเนี้ย
ลองไปร้องเรียนที่หนังสือพิมพ์มั้งยัง ธนาคารหลายๆทนาคารก็พักพวกกันทั้งนั้น ตอนนี้ไม่ว่าจะกี่เสียงความเดือดร้อน มันไม่มีประโยชน์อะไรแล้ว
ตอนนี้ มหาอำนาจ ครองเมือง คนมือเท้าครบ32 เดือดร้อนอย่าหวังว่ามันจะช่วย ขนาดคนพิการเดือดร้อนเรื่องอาชีพทำกินที่ถูกพักพวกกันแย่งอาชีพคน
พิการ มันยังไม่สนใจเลย ไล่ตะคลุบจับเข้าคุกหมด ประเทศไทยตอนีมีแต่พวกบ้าอำนาจ แย่ที่สุด
สู้มันต่อไปนะ
ขอบคุณครับ คุณ จขกท ที่มาร่วมแสดงความคิดเห็นและให้กำลังใจเป็นอย่างดี เรื่องนี้คงอีกยาวนานครับกว่าจะจบ เพราะพวกสันดานเจ้าพ่อมาเฟียแบงค์นั้นอิงกับอำนาจเผด็จการมืดดำที่ชั่วร้ายดังที่คุณทราบดี ตราบใดที่บ้านเมืองปกครองโดยพวกโจรกบฏเผด็จการทรราชชาติชั่วมือเปื้อนเลือดไร้คุณธรรม ซ้ำยังใจดำโหด***มอำมหิตบงการสั่งเข่นฆ่าประชาชนมือเปล่าอย่างเลือดเย็นที่สุด รวมทั้งการตามล้างตามผลาญล่าสังหารใส่ร้ายป้ายสีคนดี ๆ อยู่เช่นนี้ คนดี ๆ ที่ไหนเขาจะยอม จึงต้องออกมาร่วมมือร่วมใจกันแสดงพลังเรียกร้องต่อสู้ต่อต้านให้ถึงที่สุด จนกว่าจะได้ประชาธิปไตยอย่างแท้จริงและความเป็นธรรมกลับคืนมาด้วย
สำหรับเรื่องส่วนตัวผมนั้นเป็นเรื่องเล็กครับ แต่เรื่องส่วนรวมนั้นสำคัญกว่ามากมายนัก ทางธนาคารเจ้าเล่ห์จะเสนอลดดอกเบี้ยเงินกู้ชดเชยความสูญเสียให้ 1 % คืนเงินที่หั่นไปโดยไม่ชอบธรรม รวมทั้งคืนเงินค่าประเมินที่ดินที่บริษ้ท PROGRESS APPRAISAL ประเมินที่ต่ำกว่าความเป็นจริงมาก และไม่ถูกต้องตามหลักวิชาการเพราะสมรู้ร่วมคิดกับแบงค์กสิกรไทยเพื่อต้องการเอาเปรียบและปฏิเสธการกู้เงินเพิ่มจากหลักทรัพย์เดิม โดยทางธนาคารมีเงื่อนไขให้หยุดร้องเรียนเรื่องทั้งหมดที่จะทำให้ธนาคารเสียหาย และไม่ขอกู้เพิ่มอีกต่อไป ซึ่งผมทำไม่ได้เนื่องจากเรื่องส่วนตัวนั้น 2-3 เรื่ือง ตามที่เรียกร้องนั้น เป็นสิ่งที่ทางธนาคารสมควรอย่างยิ่งที่จะต้องรีบทำอยู่แล้ว -การลดดอกเบี้ย 1 % นั้น จริง ๆ แล้ว ทุกธนาคารสมควรลดให้ผู้กู้ทั่วทั้งประเทศด้วยซ้ำไป เพราะธนาคารเอาเปรียบจากการลดดอกเบี้ยเงินฝาก 0.5 %และเงินกู้ 0.25 % มา 3-4 ครั้ง รวม 0.75-1 % อยู่แล้ว -ส่วนเงินที่หั่นไปโดยไม่ชอบธรรมนั้น ตราบใดที่ธนาคารไม่คืนให้ ก็ไม่สามารถที่จะโฆษณาว่าแบงค์มีคุณธรรมจริยธรรมอีกต่อไป -เรื่องเงินค่าประเมินที่ดินที่จะเจรจาคืนให้แล้วให้ยุติเรื่องนั้น แต่ความเสียหายได้เกิดขึ้นแล้ว และเป็นส่วนที่อยู่ในความรับผิดชอบของสคบ. -ส่วนการกู้เงินเพิ่มเติมที่แบงค์ปฏิเสธมาโดยตลอดนั้น ตอนนี้ผมสูญลูกค้าไปหมดแล้ว และไม่มีแก่ใจที่จะคิดทำอะไรในตอนนี้เพราะมีรัฐบาลเผด็จการทรราชชาติชั่วมือเปื้อนเลือด โคตรชั่วแสนห่วยแสนเลวทรามต่ำช้าหน้าด้านไร้ยางอาย ถ้าหากวันข้างหน้าผมมีโครงการดี ๆ มาเสนอ ก็ควรพิจารณาด้วยเหตุด้วยผล ไม่ใช่มาสั่งห้ามเสนอหรือหากเสนอครั้งเดียวไม่ผ่านก็ให้ยุติ อย่างนี้เท่ากับแสดงว่าธนาคารชอบใช้อำนาจเผด็จการที่ไม่ชอบธรรม สนองตามนโนบายกลั่นแกล้งเอาเปรียบลูกค้าอย่างสุด ๆ ดังที่เป็นอยู่ในขณะนี้ ซึ่งนับว่าไม่สมควรอย่างยิ่ง
สำหรับเรื่องส่วนรวมนั้น เช่น -การคืนเงินที่หักโดยมิชอบจากบัญชีกระแสรายวัน 100 บาทต่อเดือน และ 50 บาทต่อเดือนจากบัญชีออมทรัพย์ และควรยกเลิกกฎนี้ทิ้งไปเสีย -ส่วนต่างดอกเบี้ยเงินกู้และเงินฝากมากเกินไป อย่างน้อยควรลดเงินกู้ลงอีก 1 % -ค่าธรรมเนียมต่าง ๆ ที่ธนาคารเพิ่มเอาเองตามใจชอบแบบมัดมือชก -บัตรเครดิต บัตร ATM -เครื่องรับฝากเงินสดกินเงิน ตู้ ATM -การใช้เล่ห์เหลี่ยมหลอกผู้กู้ให้เสียค่าธรรมเนียมเกินจำเป็น เสียค่าประเมินฟรีแล้วไม่อนุมัติ เสียค่าประกันเพิ่มโดยใช่เหตุ ฯลฯ -รวมทั้งเรื่องปลีกย่อมอีกมามายในแผ่น CD เช่น การให้บริการไม่ดี การให้ข้อมูลไม่ชัดเจนทำให้ลูกค้าเสียหาย การเอารัดเอาเปรียบลูกค้าอย่างหน้าด้าน ๆ ให้มากที่สุด การสร้างความรำคาญขายโน่นขายนี่เพื่อสร้างยอดและผลงาน การมีทัศนคติจิ้งจอกเจ้าเล่ห์โกหกหน้าตายไร้ยางอายไร้คุณธรรม ฯลฯ
|
|
Tags: |
|
![]() |
|
|
กระทู้นี้โดนมือร้ายลบอีกแล้วครับ ? ประกาศ ! กระทู้ KBank และ... ที่โดนลบ ได้ เขียนใส่ CD ส่งถึงผู้ว่าการแบงค์ชาติเรียบร้อยแล้ว http://webboard.news.sanook.com/forum/?topic=3055870 (กระทู้นี้เคยได้รับการเลือกเป็นกระทู้แนะนำโดยสมาชิก แล้วก็โดนปลดออกตามที่ผมเอ่ยไว้ข้างบนนี้)สนใจอ่านกระทู้ที่มีสาระและป็นประโยชน์ประกอบกระทู้นี้ได้เป็นอย่างดี ดาวโหลดได้จากที่นี่ครับ
ประกาศ กระทู้ KBank แตกไฟล์ได้ 2 แฟ้มครับ http://www.mediafire.com/?nkymnkrzk5d#2
โหลดแฟ้มเต็มครบถ้วนแฟ้มเดียวได้ที่นี่ แต่ต้องใช้โปรแกรม OPERA เปิดครับ http://www.mediafire.com/?jthihnzfnzj
jrchai Level 11 ความคิดเห็น: 1,368
ประกาศ ! กระทู้ KBank และ... ที่โดนลบ ได้เขียนใส่ CD ส่งถึงผู้ว่าการแบงค์ชาติเรียบร้อยแล้ว เมื่อ: 11 มี.ค. 10, 20:42 น วันนี้ผมถือว่าเป็น โอกาสอันดีที่จะประกาศแจ้งให้เพื่อนสมาชิกทั้งหลายได้ทราบว่า กระทู้ ต่าง ๆ ในเว็บบอร์ดสนุกที่ผมตั้งมารวมมากกว่า 40 กระทู้ ตั้งแต่วันที่ 27-10-52 เป็นต้นมา แม้ว่าจะถูกร้องเรียนให้ลบความคิดเห็นจนหมดเกลี้ยง ไปแล้วโดยไม่ทราบสาเหตุที่แท้จริงก็ตาม แต่โชคยังดีที่ผมได้ทำสำเนาไว้ เกือบครบหมดทุกความคิดเห็นก่อนหน้าที่จะโดนลบรวมประมาณ 243 MB จึงได้ ตัดสินใจทำการเขียนใส่แผ่น CD ส่งถึงผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยถึงที่ด้วยตัวเองเป็นที่เรียบร้อยแล้ว พร้อม ทั้งแนบเอกสารข้อเท็จจริงอ้างอิงประกอบกระทู้ที่ตั้งต่าง ๆ หลายฉบับด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็น หนังสือที่ส่งให้สคบ.หลังจากการเจรจาไกล่เกลี่ยที่ไม่ เป็นผลกับธนาคารกสิกรไทยเมื่อวันที่ 11-02-53 ข้อมูลการประเมินที่ต่ำ กว่าความเป็นจริงมากของบริษัทประเมินทรัพย์สิน PROGRESS APPRAISAL หนังสือ ตอบจากสมาคมธนาคารไทยกรณีการหักเงิน 50-100 บาท โดยมีเจตนาจะล้างบัญชีอย่างไม่เป็นธรรม หนังสือการเอาเปรียบด้านการ ประเมินค่าประกันอัคคีภัยล่าสุด 2 ครั้ง หนังสือรายละเอียดข้อมูลที่ส่ง ให้กับบริษัทข้อมูลเครดิตในรอบปีที่ผ่านมา ที่แสดงยอดคงเหลือ ณ สิ้นเดือน บัตรเครดิตกสิกรไทย มากกว่าจริงเท่าตัว โดยไม่ทราบเหตุผล ฯลฯ นอก จากนี้ผมยังได้ทำหนังสือร้องเรียนเพิ่มเติมถึงผู้ว่าการฯ ด้วยอีกฉบับหนึ่งเพื่อทวงคำตอบจากท่าน ตามหนังสือที่ได้ร้องเรียนก่อน หน้านี้ให้ตรวจสอบกรรมการบริหารธนาคารกสิกรไทยเมื่อวันที่ 23-12-52 โดย อ้างกระทู้ที่ตั้งในเว็บข่าวสนุกประกอบการร้องเรียนเหมือนเช่นการร้องเรียน ในครั้งนี้ เจ้าหน้าที่ได้เซ็นรับเรื่องไว้เป็นที่เรียบร้อย ส่วนเจ้าหน้าที่ท่านใหม่ที่รับเรื่องแจ้งให้ทราบว่า ได้ติดต่อนัดกับทาง ธนาคารให้มาร่วมเจรจา 3 ฝ่าย คล้ายที่ได้ทำที่สคบ.แล้วไม่ประสบผลสำเร็จ โดย ให้สัญญาว่าจะให้คำตอบในวันที่ 17 นี้ เพื่อกำหนดวันนัดที่แท้จริงอีกทีหนึ่ง (หวังว่าจะไม่เหมือนครั้งที่แล้ว) ส่วน สาเหตุที่ทางแบงค์ชาติไม่ตอบหนังสือที่ร้องเรียนทั้ง ๆ ที่ผ่านมาเดือนกว่าแล้ว เจ้าหน้าที่ท่านนี้ไม่สามารถตอบได้ (ปกติควรจะ ต้องมีคำตอบให้ใน 15 วัน แม้ว่าจะโทรทวงถามคำตอบทุกอาทิตย์ แต่ก็มีแต่ การปัดโยนไปโน่นนี่แทน)
ในครั้งนี้ ผมขออนุญาตโพสต์เพื่อประกาศแจ้งให้เพื่อนสมาชิกทราบอย่างเป็นทางการ แต่ ไม่ปรารถนาจะโต้ตอบหรือโพสต์ข้อความเพิ่มโดยไม่จำเป็นแต่อย่างไร เพราะ เกรงว่ากระทู้อาจจะโดนลบหรือล็อกอีกโดยไม่มีเหตุผลเพียงพอและไม่เป็นธรรมดัง เช่นครั้งก่อน (ลบเฉพาะความคิดเห็นผู้ตั้งกระทู้ แต่คงความคิดเห็นของผู้อ่านไว้)กระทู้โปรดที่ โพสต์ถึงวันที่ 27-02-53
|
|
Tags: |
|
![]() |
|
|
jrchai ร้องKBank แกล้งเอาเปรียบมา5ปี+ร้องแบงค์ชาติและสคบ.กว่า3ปี+สนุก5เดือน เหมือนไร้ผล http://webboard.news.sanook.com/forum/?topic=3140735.0;all ตอบ #33 เมื่อ: 26 มิ.ย. 10, 11:01 น ก็ในเมื่อคุณไม่สนใจอ่านกระทู้ที่ผมตั้ง แล้วยังมาแสดงความคิดเห็นเสมือนตาบอดคลำช้างเสียยืดยาว จะใช้ได้ที่ไหน คุณมัวแต่เดาสุ่มสี่สุ่มห้า ไร้ความเข้าใจในหลักการที่ถูกต้องของการเสนอความคิดเห็นขั้นพื้นฐาน ผมว่าเสียเวลาเปล่า หากคุณโหลดกระทู้ที่ผมแปะไว้ให้ไปอ่านศึกษา คำตอบจะมีอยู่ในนั้นมากมาย และมีสาระมากจนคุณอาจคาดไม่ถึงเสียด้วยซ้ำไป การที่ผมยอมเสียสละเวลามาตั้งกระทู้เพื่อให้คนรับรู้ความไม่ดีไม่งามและการเอารัดเอาเปรียบของแบงค์อย่างต่อเนื่องนั้น คุณเองก็น่าจะทราบดีว่า น่าจะมีผลดีผลร้ายอย่างไร ไม่เช่นนั้น คุณก็คงไม่เสียเวลามาตอบโต้สะเปะสะปะอย่างนี้หรอก รูปแบบของคนที่มาโต้กับผมนั้นมีสารพัดอย่างซึ่งคุณสามารถหาอ่านได้ในกระทู้ที่ผมแนะนำ และอย่ามาดูถูกดูแคลนว่าเป็นการด่าไร้สาระเด็ดขาด แค่หัวข้อการร้องเรียนทั้งส่วนตัวและส่วนรวมนั้น ก็นับว่ากระทู้นี้เต็มไปด้วยสาระอยู่แล้ว ทำไมคุณไม่ลองโหลดมาอ่านและศึกษาดูล่ะ รับรองว่าจะเกิดประโยชน์อย่างแน่นอน
คุณคิดว่าเรื่องต่าง ๆ เหล่านี้ที่ผมได้เสนอไปเป็นเรื่องไร้สาระหรืออย่างไร -การหัก 50-100 บาท/เดือน เป็นการเก็บค่ารักษาบัญชีที่ค้ากำไรเกินควรด้วยเจตนาจะล้างบัญชีจนลูกค้าตายจากไป เงินที่ดูดเลือดไปจากประชาชนเข้ากระเป๋าแบงค์ไปเป็นเงินเท่าไร นับไม่ถูก -ส่วนต่างดอกเบี้ยมากเกินควร ส่วนหนึ่งมาหักค่าเสียหายใช้หนี้ที่แบงค์ทำเจ๊งเองตอนเกิดวิกฤติทางเศรษฐกิจ แล้วเวลากำไร ทำไมแบงค์ไม่แบ่งคืนประชาชนหรือผู้ฝากเงินบ้างหรือไม่ เงินแค่ 0.5-1 % แบงค์ก็ได้เงินจำนวนมหาศาลแล้ว -บัตรเอทีเอ็มขึ้นจาก 100 บาท เป็น 200 บาทแบบมัดมือชกด้วยความเจ้าเล่ห์แสนกลสารพัดที่งัดเอามาใช้ ฟาดกำไรเพิ่มไป 100 % -ตู้รับฝากเงินสดกินเงินคราวละ 100 500 หรือ1000 บาท หากไม่ร้องเรียน เข้ากระเป๋าใคร หากมีหลายร้อยหลายพันตู้ จะเป็นเงินเท่าไร มีการตรวจสอบแก้ไขตู้ทั้งหมดให้มีสภาพดีแล้วหรือยัง รวมทั้งตู้เอทีเอ็มที่เสียในบางครั้งด้วย ร้องเรียนกว่าจะได้คืนยากลำบากมาก -วันดีคืนดีเงินในบัญชีถูกอายัดเกลี้ยงทั้ง ๆ ที่ต้นเหตุมีแค่หนึ่งในสี่ ไม่มีวันคืน 3 ส่วนให้ แม้จะชี้แจงด้วยเหตุด้วยผลอย่างไรก็ไม่รับฟัง -อยู่ดี ๆ เรื่องยังไม่สิ้นสุด ก็มาขอให้เขียนหนังสือยอมให้หักเงินในบัญชีหมุนเวียนไปครึ่งหนึ่ง ในขณะที่มีเงินเหลืออยู่น้อยมากอยู่แล้ว -เงินประกันอัคคีภัยยังทำเกินกว่าเงินกู้ถึง 7 เท่า ก็ทำมาแล้ว บ้านที่อยู่เฉย ๆ ก็ทำแบบประกันธุรกิจเสียเกินจริงกว่า 10 ปี ทำประกันเกินยอดที่กู้แบบจำยอม -สมรู้ร่วมคิดกับบริษัทประเมินหลักทรัพย์ ในอดีตเจอแบงค์ทำเองประเมินต่ำติดดินอย่างไร ปัจจุบันก็เฉกเช่นเดียวกัน เอาเปรียบอย่างสุด ๆ -ยึดหลักทรัพย์ลูกค้า แล้วขายทอดตลาดเอง ประเมินเองต่ำ ๆ ขายได้เงินทุนคืน แล้วยังมาทวงหนี้เท่าเดิมอีก -หลอกลูกค้าเสียค่าประเมินค่าใช้จ่ายฟรีโดยไม่แจ้งให้ทราบว่า แบงค์ประเมินได้มากน้อยเพียงไรไม่สามารถให้กู้ได้ ใช้กฎที่ไร้ความเป็นธรรม -บวกดอกเบี้ยบัญชีใหม่มากกว่าบัญชีเดิมถึง 1.75 เป็นปี ๆ หากไม่รู้ไม่ทักท้วง ก็ต้องจ่ายไปเรื่อย ๆ -เงินกู้ผ่อนหมด ไม่ปรับเป็นโอดีให้ตามสัญญาถึง 2 ครั้ง ต้องทักท้วงจึงจะได้ ฯลฯ
-การยอมพวกโจรกบฏรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 เป็นรัฐาธิปัตย์ -รัฐบาลไม่ได้มาจากเสียงส่วนใหญ่ของประเทศ แต่งตั้งกันเองโดยการบีบบังคับ ไร้ความชอบธรรม -รัฐบาลและผู้บงการเข่นฆ่าประชาชนมือเปล่า ทั้ง ๆ ที่ในสงครามเขายังยกเว้น -ตุลาการยอมรับโจรกบฏรัฐประประหาร ไม่สามารถฟ้องร้องได้ ไร้ความเป็นธรรมจนได้รับฉายาตุลาการวิบัติ ฯลฯ
ฉะนั้น คราวหน้าคราวหลัง อย่าได้มาติเรือทั้งโกลนโดยไม่ดูตาม้าตาเรือให้ดีเสียก่อนจะดีกว่า หากไม่รู้จริงก็น่าจะเจียมตัวสักนิดก็ยังดี เรื่องบัตรเครดิตนั้นก็อิงกับบัญชีแบงค์อยู่และผมไม่เคยมีปัญหาใด ๆ ทั้งสิ้นตลอดกว่า 21 ปีที่เปิดบัญชีมา ไม่เชื่อก็ถามแบงค์ดูได้ อย่ามาเนียนอิงแอบเข้าข้างแบงค์และดิสเครดิตผมจะดีกว่า โคลงกลอนต่าง ๆ นั้น ผมกลั่นออกมาจากใจตามความเป็นจริง น่าจะแสดงให้เห็นชัดแล้วนะครับทุกวันนี้ ใคร ๆ เขาก็รู้กันว่าโจรครองเมือง ตุลาการวิบัติ รัฐบาลฆาตกรมือเปื้อนเลือด ความเป็นธรรมแทบหาไม่ได้ ยิ่งมาเจอแบงค์สันดานชั่วอีก ใครจะรับไหว ก็ต้องมาประจานให้เพื่อน ๆ ที่คิดเหมือนกันได้รับรู้เพื่อช่วยกันต่อสู้ต่อต้านให้ถึงที่สุด หรือคุณจะยอมเป็นขี้ข้าพวกชั่วช้าสารเลวเหล่านี้ ให้กระทำการย่ำยีโกงกินตามอำเภอใจ จนบ้านเมืองฉิบหายตำตาตำใจอีกต่อไปโดยไม่ทำอะไรบ้างเลยหรือ ช่วยตอบผมให้ชื่นใจสักนิดก็ยังดี
****************************************************** ขอแนะนำกระทู้ที่รวมเอาความคิดเห็นสำคัญ ๆ จากกระทู้ต่าง ๆ หลายสิบกระทู้ที่แตกออกไปมารวมกัน ท่านที่สนใจสามารถที่จะดาวน์โหลดได้ จากลิ้งค์ที่ให้ไว้ข้างล่างนี้ครับ ใช้โปรแกรม winrar แตกไฟล์ จะได้ 13 แฟ้ม แฟ้มที่ 1-12 ต้องใช้โปรแกรม OPERA ที่ว่างเปล่า ไม่มีการเปิดเว็บใด ๆ ค้างไว้ จึงจะเปิดได้ (โหลด opera ฟรีได้จากลิ้งค์นี้ครับ http://www.opera.com/download/) ส่วน แฟ้มที่ 13 นั้น เปิดโดย browser ใด ๆ ก็ได้
กลยุทธการบริการเอารัดเอาเปรียบจนกว่าลูกค้าจะตายของธนาคารกสิกรไทยที่ท่าน ควรทราบ http://www.mediafire.com/?oiynzncah3m#2
|
|
Tags: |
|
![]() |
|
|
|
ผมขอยกตัวอย่างจากกระทู้นี้และข่าวไทยรัฐมาแสดงให้คุณ สู้ ๆ ค่ะ ได้เห็น ว่ามีคนเกลียดชังอภิสิทธื์มากมายเพียงใด
6 วัน 63 ล้านความหมาย ..สรุปว่า "อ่วม" http://www.prachataiboard1.info/board/id/51479 Wed, 07/07/2010 - 07:50 | by สายลม รัก(1) | Report topic
แหล่งข่าว ที่เป็นข้าราชการพลเรือนแต่(แอบแดง)ประจำสำนักนายกฯ...
ผู้ที่มีหน้าที่สนอง Need ความต้องการสร้างภาพ
ในโครงการ 6 วัน 63 ล้านความหมาย......ได้แจ้งข่าวเล็ก ๆ มาให้ผมแซบว่า
โครงการดังกล่าว เจ้าหน้าที่ประจำสำนักนายก และลูกน้องอีก 2-3 นาง แอบหัวเราะกันคิก ๆ แล้วสรุปในใจว่า "อ่วม"
ซึ่งการจัดทำโคงการดังกล่าว ได้มีการเกณฑ์ เจ้าหน้าที่ อาสาสมัคร ดารา นักร้อง และนักการเมือง มาฟังความต้องการของประชาชน
"ทั้ง ๆ ที่เขาก็มาบอกความในใจก่อนหน้านี้แล้วเป็นแสนเป็นล้าน กลางถนนราชดำเนินเต็มพรืดไปจนถึงลานพระรูป"
"ดัน***ไม่ฟัง ***จะฟังทางโทรศัพท์ ให้มันเปลืองเงินภาษีซะงั้น.. "
หรือว่าสิ่งที่ประชาชนบอกเป็นสิ่งที่่ไม่อยากฟัง....
หรือฟังแล้วมันแสลงใจ กรูเลยต้องฆ่าพวกมันซะ
----------------------------------------------------------------------------------------
ผลปรากฏว่า กระบวนกาีรสร้างภาพ 6 วัน 63 ล้านความหมาย
จากฝีมือของลูกกรอกคะนองฤทธิ อันลือลั่นมาจาก การถ่ายทอดร้องเพลงชาติตอนเย็นทำให้คนไทยรักกันมากขึ้น (ไม่รู้เอาสมองส่วนไหนคิด หรือว่ามันเตี้ยเกินไป เลยทำให้ระดับมันสมองที่อยู่เหนือพื้นดินไม่มาก เลยต่ำลงไปด้วย)
ผลปรากฏว่า แต่ละคน แต่ละ วงการ ไม่ว่าเจ้าหน้าที่ อาสาสมัคร ต่างให้ข่าวส่วนตัวอันน้อยนิดออกมา (ถ้าเป็นบ้าน ๆ เขาเรียกนินทา) ไปในทางเดียวกันว่า "หูชา" กันทั่วหน้าโดยมิได้นัดหมาย.....
เพราะประชาชนโทรมา ด่า สาบแช่ง ขับไล่ เป็นจำนวนมาก
ข่าวแว่ว ๆ จากเจ้าหน้าที่ผู้ประสานงาน ออกมาว่า ดาราบางคนบ่นพึมพำว่า "รู้งี้ไม่มาหรอก ให้มานั่งฟังคำด่าอยู่ได้ ถ้ามีโครงการแบบนี้อีก อย่าหวังจะมาอีก"
ผลสะท้อนความรักความเข้าใจของประชาชนที่มีต่อรัฐบาลช่าง แจ่มแจ้ง แดงแจ๋....
นี่ดีนะแค่ 6 วัน ถ้ายืดไปซัก 1 เดือนหละก็
อาสาสมัครถอยกรูด ไม่เหลือซักรายแน่ เพราะที่มา ๆ หนะ ต้นสังกัดบังคับส่งมาทั้งน้านนนนนนนนนนน
----------------------------------------------
แหล่งข่าว ยังได้แจ้งออกต่อมาอีกว่า งานนี้ ลูกกรอกคะนองฤทธิ ค่อนข้า่งผิดหวัง
เพราะมันไม่คิดว่าประชาชนจะโกรธเกลียดรัฐบาลจนโทรมาด่าได้ "มากขนาดนี้" ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า
|
|
Tags: |
|
![]() |
|
|
ข้อคิดเห็นจากกระทู้ข้างบนนี้
Comment #482848 by คนลึกลับ | Wed, 07/07/2010 - 08:17 | Report comment คนลึก ลับ's picture สมน้ำหน้าดารา
สมน้ำหน้าดารา ซึ่งไม่ถือว่าตกเป็นเหยื่อหรอก ก็อยากไปเสนอหน้าเองทำไม เสื้อแดงเขาออก มาเป็นแสนเป็นล้าน พวกนี้ก็ด่าในใจว่า ขัดขวางเกะกะการทำมาหากินของพวกมัน โดย ไม่ได้นึกเลยว่าเขามาตากแดดตากฝนเพื่อพูดสิ่งที่คุณนั่งฟังในโทรศัพท์ นั่นแหละ ยังดีันะ นั้งฟังในห้องแอร์เย็นๆ แต้ก็เหงื่อตกซิกๆ กันละ
ย้ำ อีกที "สมน้ำหน้า"
Comment #482852 by คุณชาย | Wed, 07/07/2010 - 08:27 | Report comment คุณชาย's picture เท่าที่ติดตามมา
เท่า ที่ติดตามมา มันอ่วมตั้งแต่วันแรกแล้วครับ แต่มันเลิกไม่ได้ อิอิ
Comment #482855 by kongkang | Wed, 07/07/2010 - 08:31 | Report comment เมื่อ วานช่วงเย็น เลิกงาน
เมื่อวานช่วงเย็น เลิกงาน กะตอนหัวค่ำ โทรไปไม่มีใครรับสายเลยค่ะ
ไม่รู้มันเลิกกันแล้วหรือป่าว ถ้าใช่ก็ตกข่าว แป่ว....
Comment #482857 by tomato | Wed, 07/07/2010 - 08:33 | Report comment tomato's picture 63 ล้านความคิด
63 ล้านความคิด ขอให้ทำตามความคิดเดียวก็พอคือ "ไปลงนรกซะ" จะเลิศประเสริฐศรีเข้าไปอีกถ้าลากมือที่มองไม่เห็นไปด้วย หุ หุ
Comment #482861 by BBBBB | Wed, 07/07/2010 - 08:42 | Report comment จงใจฆ่าคนขนาดนี้ จงใจทำร้ายฝ่
จงใจฆ่าคนขนาดนี้
จง ใจทำร้ายฝ่ายจรงข้ามขนาดนี้
จงใจใช้เงินที่กู้มาอย่างนี้
กู ไม่โทรไปอีกคนก็ดีแล้ว เพราะกูขยะแขยงที่จะต่อสายถึงคุณและพวก
Comment #482862 by TAN007 | Wed, 07/07/2010 - 08:42 | Report comment TAN007's picture สรุป
สรุป โครงการสายด่วนปรองดอง
เอแดรกโพลเผย 81.99% โทรให้กำลังใจนายก และเชื่อมันรัฐบาลบริหารงานต่อไป เนื่องจาก GDP กำลังโตวันโตคืน หุหุ
Comment #482868 by Firass | Wed, 07/07/2010 - 08:48 | Report comment Firass's picture ***ไปเชื่อคุณหล่อเล็ก
***ไป เชื่อคุณหล่อเล็ก โฆสัตว์โยธิน รถดับเพลิงที่ท่าเรือสนิมแดกหมดแล้ว
Comment #482871 by เกลอแก้ว | Wed, 07/07/2010 - 08:51 | Report comment คุณ "ฆาตกร100ศพ"
คุณ "ฆาตกร100ศพ" ชีวิตของคุณและครอบครัวขอให้พบกับความวิบัติ ครอบครัวล่มสลายพลัดพรากล้ม ตาย หาแผ่นดินอยู่ไม่ได้ทั้งตระกูล
Comment #482875 by kookkai24 | Wed, 07/07/2010 - 08:55 | Report comment kookkai24's picture 6 วัน 600 ล้าน
6 วัน 600 ล้าน โดนด่าฟรี
ตอนพวกเรามาบอกคุณไม่ ต้องเสียซักบาท พวกคุณเอาปืนมาไล่ยิง
พอมาตอนนี้เอางบประมาณมาผลาญ
แล้ว บอกจะฟังเสียงชาวบ้าน คุณพวก...รัฐบ้า
Comment #482895 by bang | Wed, 07/07/2010 - 09:29 | Report comment bang's picture คุณสัตว์ นรก นายก หน้าเอี้ย
คุณสัตว์นรก นายก หน้าเอี้ย แม่รงด้านจริงๆ
Comment #482896 by alias24s | Wed, 07/07/2010 - 09:30 | Report comment alias24s's picture เห็นหน้าแม่ ง
เห็นหน้าแม่ ง ในทีวียังเปลี่ยนหนี ..
จะ ให้ไปฟังเสียงมันอีก .....หยะแหยง ๆ ๆ ...อ๊วก ก ก ก ก
Comment #482905 by ilovekids | Wed, 07/07/2010 - 09:34 | Report comment ilovekids's picture สะใจไหมคร๊าบ
สะใจไหมคร๊าบ เค้าออกมาบอกว่าเค้าต้องการอะไรเจือกไม่ทำ แต่มาเปิดสายให้คนโทรมาด่าเ่ล่น
คิด กันได้แค่นี้หรือไงฟะ
Comment #482940 by konthai911 | Wed, 07/07/2010 - 10:09 | Report comment รายการดีๆอย่างนี้มีแค่ 6 วัน
รายการ ดีๆอย่างนี้มีแค่ 6 วัน อย่างพรกฉุกเฉิน รายการเลวๆดันต่อ 3 เดือน เฮ้ย!!!ไหนบอกว่าประเทศนี้เป็น"ประชาธิปไตย"วะ
Comment #482982 by ชาติอนุรักษ์ | Wed, 07/07/2010 - 10:38 | Report comment แม้รัฐบาล+โพ ล+สื่อบางพวก.....
แม้รัฐบาล+โพล+สื่อบางพวก.....จะพยายามสร้าง ภาพหลอกอย่างไรก็ ตาม.....ความจริงมันก็จะคือความจริงวันยังค่ำ... ยิ่ง โง่จนเอาข้าราชการกับดารา มารับฟังเสียงจากประชาชนด้วยแล้ว....ยิ่งเป็นการประจานตัวเองเข้าไปใหญ่ แทน ที่คนเหล่านั้นจะไม่รู้ว่าความรู้สึกของประชาชนเป็นอย่างไร....ก็เลยช่วย เฉลยให้เขารู้ได้มากขึ้น
จะหลอกก็หลอกได้แต่ตัวเองเท่านั้นละมาร์ค เอ๋ย...สติปัญญามีแค่ มุ่งจะสร้างภาพ เงินทองที่ใช้ไปกับเรื่องไร้สาระ ได้มาก็แค่รับรู้ว่า"ความเกลียดชัง"มันมีเพิ่มขึ้น แม้จะทำหน้ายิ้ม ระรื่น....แต่ภายในก็คงอกตรมเพราะบาปที่ทำเอาไว้กับคนไทย ด้วยกัน
Comment #483035 by songvit | Wed, 07/07/2010 - 11:10 | Report comment songvit's picture การเปิดโอกาส ให้คนด่าถึงหู
การเปิดโอกาส ให้คนด่าถึงหู นี่ นับว่าเค้น จากมันสมอง ที่ บัดซบ เท่านั้นถึงจะคิดได้...
Comment #483057 by TAN007 | Wed, 07/07/2010 - 11:30 | Report comment TAN007's picture พรก ก็ต่อแล้ว ทำไมไม่ต่อ
พรก ก็ต่อแล้ว ทำไมไม่ต่อ รายการ 6 วัน 63 ล้านความคิดอีกละ โทรยังไม่ครบคนเลย หุหุ
Comment #483074 by Monkey_D_Luffy | Wed, 07/07/2010 - 11:46 | Report comment Monkey_D_Luffy's picture งานนี้ ดาราก็ได้ตาสว่างซะที
งานนี้ ดาราก็ได้ตาสว่างซะที อิิอิอิ
... จากที่ทำตัวเป็นเทพในกองถ่าย มีคนบริการ มีคนขอลายเซ็น ไปงานนึ่ง 5-6หมื่น แต่งตัวทำนมหด ใส่กระโปรงสั้นๆให้นักข่าวถ่ายหวอออกหนังสือ ก็จะได้รู้ว่า โลกแห่งความจริงเป็นอย่างไง ....
Comment #483086 by michi | Wed, 07/07/2010 - 11:59 | Report comment เสียดายจริงๆกดโทรศัพท์เท่าไหร
เสียดาย จริงๆกดโทรศัพท์เท่าไหร่ก็ไม่ติด แต่โทรไปฝากด่าที่ 1111 สำนักนายกเหมือนกัน มันน่าจะจัดอีกนะ รายการดีๆอย่างนี้ อยู่ๆรัฐบาล ทรราชหน้าโง่เกิดใจกว้าง จัดรายการทีวีเปิดโอกาสให้ประชาชนโทรไปด่า มัน เลยได้ฟังเสียงด่าแถมสาปแช่งจน "อ่วม" ใครยังไม่ได้ด่าหรือยังด่าไม่สะใจ โก๋กี๋ โทรไปที่ 1111 ได้เลยจ้า
Comment #483087 by malee mala | Wed, 07/07/2010 - 11:59 | Report comment malee mala's picture คน มาเป็นล้าน...โดนยิงตายเป็นร
คนมาเป็นล้าน...โดนยิงตายเป็น ร้อย...บาดเจ็บมากกว่าพัน ...ยังไม่ยอมฟังแล้วตอนนี้มารับดทรศัพท์ไม่ปล่อยเสียงไม่มีคนดูทีวีได้ยิน เสียงจะโมเมอย่างไรก้ได้
Comment #483099 by ข้าวหอม | Wed, 07/07/2010 - 12:14 | Report comment ข้าวหอม's picture นะ นะ น่าจะมีคนที่ Rec.
นะ นะ น่าจะมีคนที่ Rec. เสียงไว้ ตอนได้คุยกับมาร์คนะ หรือพวกรัฐมนตรีที่แสดงละครพูดดีๆ (ทั้งๆที่กำลังโดนด่า) แล้วเอามาประจาน คงขำกลิ้ง 55555
|
|
Tags: |
|
![]() |
|
|
วิลลี่-หอย'หูชา รับสายด่วน ถูกฝากไล่รัฐบาล http://www.thairath.co.th/content/pol/93991
"วิลลี่–เสนาหอย" หน้าเจื่อน มาช่วยรับโทรศัพท์สายด่วนสร้างความปรองดอง ถูกชาวบ้านโทรมาบ่น-ด่าการทำงานรัฐบาลจนหูชา เผยมีฝากไล่รัฐบาลให้ไปตาย ด้าน "พรทิวา" คุยฟุ้งประชาชนยังให้กำลังใจ...
เมื่อวันที่ 5 ก.ค. ที่ทำเนียบรัฐบาล บรรยากาศโครงการ "6 วัน 63 ล้านความคิด ร่วมเดินหน้าปฏิรูปประเทศไทย" เพื่อรับฟังความเห็น ข้อเสนอแนะจากประชาชนในการปฏิรูปประเทศไทยนั้น ยังคงมีรัฐมนตรี ศิลปิน ดารา มาร่วมรับสายโทรศัพท์อย่างต่อเนื่อง โดยในวันนี้ มีนางพรทิวา นาคาศัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์, นายอลงกรณ์ พลบุตร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์, วิลลี่ แมคอินทอช และ "เสนาหอย" เกียรติศักดิ์ อุดมนาค พิธีกร ดารายอดนิยมตลอดจนคณะนางสาวไทย และดีเจคลื่นซี้ด (SEED) เดินทางมาร่วมรับสายโทรศัพท์
ผู้สื่อข่าว รายงานว่า ภายหลังการรับโทรศัพท์ วิลลี่ แมคอินทอช และเสนาหอย ต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันด้วยสีหน้าเจื่อนๆ ว่า "โดนด่าจนหูชา ส่วนใหญ่โทรศัพท์มาต่อว่าการทำงานของรัฐบาล บางสายพูดสั้นๆว่า ฝากบอกรัฐบาลด้วยว่า ไปตายซะ"
ขณะที่นางพรทิวา กล่าวว่า เท่าที่ได้รับโทรศัพท์รับฟังความเห็นจากประชาชน ส่วนใหญ่จะมีปัญหาเรื่องการทำกิน และหนี้นอกระบบ โดยในส่วนของหนี้นอกระบบนั้นแม้ว่าภาครัฐจะเปิดให้มาลงทะเบียน แต่ประชาชนอยากให้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์ (ธกส.) มารับผิดชอบมากกว่าธนาคารออมสิน นอกจากนี้ ยังมีปัญหาค่าครองชีพ เงินเดือนไม่ขึ้น อย่างไรก็ตาม ก็มีประชาชนบางส่วนโทรศัพท์มาให้กำลังใจรัฐบาลด้วย และบอกว่าอยากให้อยู่นานๆ.
|
|
Tags: |
|
![]() |
|
|
สัญญาณชัดขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย! ธปท.-แบงก์เห็นพ้องกดไม่ลงส่วนต่างดอกเบี้ย http://www.thairath.co.th/content/eco/96061
ประชุมร่วมแบงก์พาณิชย์ ธปท.แอบส่งซิกขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย ระบุเศรษฐกิจขยายตัวดี ทำให้ต้องการแรงกระตุ้นจากรัฐน้อยลง ขณะที่บีบลดส่วนต่างดอกเบี้ยเหลว...
นางธาริษา วัฒนเกส ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวภายหลังการเชิญผู้บริหารธนาคารพาณิชย์มาหารือวานนี้ (13 ก.ค.) ว่า เป็นการพบปะเพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับการดำเนินนโยบายเศรษฐกิจการเงิน สถาบันการเงิน และระบบการชำระเงิน โดย ธปท.ได้ประเมินภาพรวมของเศรษฐกิจครึ่งปีแรกให้ธนาคารพาณิชย์รับทราบว่า เศรษฐกิจในครึ่งปีแรกขยายตัวได้ดีตามการขยายตัวของภาคเอกชน และการส่งออก ขณะที่สถานการณ์ทางการเมืองมีความเสี่ยงลดลง ทำให้การขยายตัวในครึ่งปีหลังเกิดขึ้นได้ต่อเนื่อง และความจำเป็นในการกระตุ้นเศรษฐกิจโดยภาครัฐจึงมีความจำเป็นลดลง
ขณะที่ ธปท.ขอให้ธนาคารพาณิชย์เตรียมความพร้อมสำหรับเกณฑ์มาตรฐานทางการเงินใหม่ที่จะเริ่มนำมาใช้ในปี 2554 เช่น บาเซิล 3 และมาตรฐานทางบัญชี ไอเอเอส 39 ที่มีรายละเอียดมากขึ้น โดยจะมีการประเมินร่วมกันว่า เกณฑ์ใดที่มีความเหมาะสมนำมาใช้กับระบบสถาบันการเงินไทย
ด้านนายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ กรรมการผู้จัดการธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวเพิ่มเติมว่า จากภาวะเศรษฐกิจในครึ่งแรกของปีขยายตัวได้ค่อนข้างดีในทุกภาคส่วนของเศรษฐกิจ ซึ่งทำให้เศรษฐกิจไทยในครึ่งปีหลัง ขยายตัวดีต่อเนื่อง ซึ่งจากทิศทางที่ ธปท.เล่าให้ฟัง ทำให้สามารถจับสัญญาณการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายได้ว่าน่าจะเกิดขึ้น เพราะ ธปท.เห็นเป็นเรื่องจำเป็นในช่วงที่เศรษฐกิจกำลังฟื้นตัวได้ดี
"เท่าที่ ธปท.เล่าเกี่ยวกับเศรษฐกิจและแนวโน้มในอนาคต เหมือนเป็นการส่งสัญญาณให้แบงก์พาณิชย์ทราบแนวโน้มการดำเนินนโยบายการเงินของ ธปท. ว่า จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย แต่จะเป็นการปรับขึ้นในการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินวันนี้ (14 ก.ค.) เลยหรือไม่นั้น คงต้องขึ้นกับการประเมินภาพของ กนง.อีกครั้ง แต่เชื่อว่าการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยจะเป็นไปอย่างค่อยไปค่อยไป ไม่ทำให้เศรษฐกิจชะงักงัน และ ธปท.จะต้องมั่นใจก่อนว่าเศรษฐกิจในช่วงต่อไปขยายตัวได้ดีแน่นอน"
นายอภิศักดิ์กล่าวต่อว่า ทิศทางของอัตราดอกเบี้ยขาขึ้นดังกล่าว สอดคล้องกับมุมมองของธนาคารพาณิชย์ ซึ่งประเมินไว้ตั้งแต่ช่วงต้นปีที่ผ่านมาว่า อัตราดอกเบี้ยของธนาคารพาณิชย์จะต้องปรับขึ้นในครึ่งปีหลัง ดังนั้น สัญญาณที่ ธปท.ส่งมาให้วันนี้ ธนาคารพาณิชย์คาดไว้ก่อนหน้าแล้ว นอกจากนั้น ในการประชุมครั้งนี้ ได้มีการประเมินผลประกอบการของระบบธนาคารพาณิชย์ไทยในช่วงครึ่งปีแรก ซึ่งออกมาว่าค่อนข้างดี โดยธนาคารพาณิชย์ได้รับผลกระทบจากปัญหาการเมืองที่ผ่านมาน้อยมาก
ขณะเดียวกัน ได้มีการประเมินส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ และเงินฝากสุทธิ หรือ NIM ของระบบ ธนาคารพาณิชย์ด้วยว่า มีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยสิ้นปี 2552 ที่ผ่านมา รายได้ดอกเบี้ยสุทธิอยู่ที่ 2.9% ในขณะที่สิ้นไตรมาสแรกอยู่ที่ 2.8%
"ธปท.ไม่ได้กดดันเรื่องบังคับให้ธนาคารพาณิชย์ ต้องปรับลดส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยเงินกู้และเงินฝาก ลงอีกในการประชุมครั้งนี้ แต่ก็เข้าใจตรงกันมาตลอด และธนาคารพาณิชย์ก็พยายามดูแลส่วนต่างดังกล่าวให้ลดลงได้อีก ด้วยการลดต้นทุนการดำเนินงาน ซึ่ง จะทำให้การส่งผ่านค่าใช้จ่ายไปยังไปประชาชนลดลง ได้ แต่อย่างไรก็ตาม เรื่องดังกล่าวไม่ใช่ทำแล้วจะได้ ทันที จะต้องใช้เวลาระยะหนึ่งเพื่อปรับลดส่วนต่าง"
นายอภิศักดิ์กล่าวต่ออีกว่า ธปท.ได้ฝากให้ ธนาคารพาณิชย์เร่งปล่อยสินเชื่อเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สินเชื่อธุรกิจขนาดกลางขนาดย่อม (เอสเอ็มอี) ซึ่งเป็นนโยบายที่ผู้ว่าการ ธปท.ขอให้ทำตั้ง แต่ต้นปีแล้ว และครั้งนี้ขอให้ช่วยกันปล่อยสินเชื่อเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ส่วนการปรับโครงสร้างค่าธรรมเนียมการให้บริการทางการเงินนั้น การบ้านเดิมที่ให้ไว้ก่อนหน้านี้ของ ธปท.คือ การปรับลดค่าติดตามทวงถามหนี้ให้ลดลงตามต้นทุนที่แท้จริง ซึ่งขณะนี้ธนาคารพาณิชย์ทุกแห่งได้ปรับลดค่าติดตามทวงถามหนี้ลงหมดทุกแห่งแล้ว
อย่างไรก็ตาม ในส่วนของค่าธรรมเนียมการให้บริการทางการเงินอื่น และการให้บริการผ่านระบบ การชำระเงิน ทาง ธปท.และธนาคารพาณิชย์ยังต้องดำเนินการศึกษาต้นทุนที่แท้จริง และอัตราการคิดค่าธรรมเนียมที่เหมาะสมและเป็นธรรมกับประชาชน ยังอยู่ในโครงการที่ต้องทำร่วมกันต่อไป ซึ่งคาดว่าจะค่อยๆ ทยอยปรับปรุงค่าธรรมเนียมให้เหมาะสมได้เป็นระยะๆ
"ส่วนเรื่องสุดท้ายที่ ธปท.ฝากคือ การใช้ระบบการอ่านเช็คด้วยภาพ ซึ่งจะช่วยให้การจ่ายเงินจากเช็คลดเวลาลงได้มาก แต่ในขณะนี้ยังมีปัญหาในส่วน ของเช็คของบางหน่วยงาน หรือประชาชนบางส่วนที่มีการใช้ตราประทับบนเช็ค ซึ่งไม่สามารถอ่านผ่าน ระบบภาพเช็คได้ ซึ่งทำให้เช็คส่วนนี้ต้องใช้เวลาหลายวันในการตรวจสอบและชำระเงินผ่านเช็ค จึงได้ฝากธนาคารพาณิชย์ไปทำความเข้าใจกับลูกค้า".
|
|
Tags: |
|
![]() |
|
|
จากข่าว "ส่วนต่างอัตรา ดอกเบี้ยเงินกู้ และเงินฝากสุทธิ หรือ NIM ของระบบ ธนาคารพาณิชย์ด้วยว่า มีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยสิ้นปี 2552 ที่ผ่านมา รายได้ดอกเบี้ยสุทธิอยู่ที่ 2.9% ในขณะที่สิ้นไตรมาสแรกอยู่ที่ 2.8%" จริง ๆ แล้วแบงค์พาณิชย์กินส่วนต่างประมาณ 5 % หรือมากกว่านั้น นี่คือการเอาเปรียบประชาชนหรือลูกค้าที่น่าเกลียดมาก ๆ กินส่วนต่างชดใช้หนี้เสียที่แบงค์ทำเจ๊งเองแล้วไม่ยอมรับความจริง ทีเวลากำไรทำไมไม่แบ่งคืนให้ลูกค้าบ้างล่ะ กรุณาดูจากตารางดอกเบี้ยของแบงค์ชาติข้างล่างประกอบ อัตราดอกเบี้ยเงินให้สินเชื่อ ของธนาคารพาณิชย์ ประจำวันที่ 13 กรกฎาคม 2553 อัตราดอกเบี้ยเงินฝากสำหรับบุคคลธรรมดา ของธนาคารพาณิชย์ ประจำวันที่ 13 กรกฎาคม 2553http://www.bot.or.th/thai/statistics/financialmarkets/interestrate/_layouts/application/interest_rate/IN_Rate.aspx
|
|
Tags: |
|
![]() |
|
|
|
|
Tags: |
|
![]() |
|
|
กรณ์ สวนหมัด เสี่ยปั้น แนะเลิกฟันส่วนต่าง ดบ.บนหลัง ปชช. http://www.jjthai.net/articles/43
กรณ์ สวนกลับ บัณฑูร ยันให้เสียสละหั่น สเปรด ดบ.กู้-ฝาก เพราะต้องการให้มีส่วนร่วมกันรับผิดชอบสังคม ตอกแบงก์พาณิชย์ ลดส่วนต่าง ดบ.กู้-ฝากให้ลูกค้าได้เองอยู่แล้ว เพราะคุมส่วนแบ่งการตลาด ไม่ต้องไขสือรอแบงก์รัฐชี้นำ ส่วนข้อเสนอให้หารือแบงก์ชาติ แทรกแซงอัตรา ดบ.นั้น ขอรับไว้พิจารณา "วิโรจน์" แฉที่มาส่วนต่างดอกเบี้ยถ่าง พบขูดรีดสูงถึง 5% เพราะแบงก์เอาต้นทุนนำส่งกองทุนฟื้นฟู-ค่าบริหารหนี้เสีย นำมาหักดอกเบี้ยฝาก-โปะใส่ดอกเบี้ยกู้ แนะเลิกโยนความรับผิดชอบต้นทุนตังเองเป็นภาระให้ลูกค้า
วันนี้ 22 มกราคม 2552 นายกรณ์ จาติกวณิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวถึงกรณีที่สถาบันการเงินเอกชน แนะนำให้ธนาคารของรัฐนำร่องลดช่องว่างระหว่างอัตราดอกเบี้ยเงินกู้และเงินฝาก (สเปรด) โดยระบุว่า ส่วนแบ่งทางการตลาดส่วนใหญ่นั้นเป็นของธนาคารพาณิชย์ ซึ่งสถาบันการเงินเอกชนควรลดช่องว่างระหว่างอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ และเงินฝากได้เลย ไม่ต้องรอธนาคารของรัฐ และการริเริ่มหลัก ควรมาจากธนาคารพาณิชย์เอง
"กรณี สเปรดอัตราดอกเบี้ยเงินฝากและอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ในระบบธนาคาร ผมมองว่ายังมีส่วนต่างสูงเกินไป และต้องการเรียกร้องให้ธนาคารพาณิชย์ ร่วมมือในการปรับลดส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยลงอีก เพราะเห็นว่า สถานการณ์วิกฤตเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน ทุกฝ่ายควรต้องช่วยกันรับผิดชอบต่อสังคม และทำในสิ่งที่คิดว่าจะช่วยได้"
รมว.คลัง ยืนยันว่า สิ่งที่ได้นำเสนอไปเป็นเพียงการตั้งข้อสังเกตุ เพื่อให้ธนาคารพาณิชย์กำหนด สเปรดระหว่างดอกเบี้ยเงินกู้ และเงินฝากให้เกิดความเหมาะสม เพราะมองว่าหากธนาคารพาณิชย์กำหนดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ไว้สูง และมีผลทำให้สเปรดของดอกเบี้ยเงินกู้ และเงินฝากห่างกันมาก ท้ายที่สุดแล้วจะมีผลกระทบกับลูกค้าของธนาคาร และในระยะยาวอาจจะกระทบมาถึงธนาคารเองด้วย
นายกรณ์ ยังกล่าวถึงแนวคิดที่ธนาคารพาณิชย์ ต้องการให้กระทรวงการคลังหารือกับทางธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เพื่อแทรกแซงอัตราดอกเบี้ยนั้น ตนเองคงจะรับไว้ เพื่อพิจารณา ส่วนมาตรการกระตุ้นธุรกิจภาคอสังหาริมทรัพย์จะเป็นการช่วยเหลือการจ้างงาน และธุรกิจภาควัตถุดิบ ส่วนกรณีที่อุตสาหกรรมอื่นต้องการให้รัฐบาลออกมาตรการช่วยเหลือนั้น คงต้องพิจารณาถึงความเหมาะสมก่อน
สำหรับข้อเสนอของนายบัณฑูร ล่ำซำ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ที่ต้องการให้ธนาคารของรัฐเป็นฝ่ายนำร่องลดดอกเบี้ย หลังจากที่คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ประกาศลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงนั้น รมว.คลัง กล่าวว่า ธนาคารของรัฐมีบทบาทสำคัญในการดูแลประชาชนและลูกค้าอยู่แล้ว และส่วนแบ่งการตลาดส่วนใหญ่กว่า 80% จะอยู่ที่ธนาคารพาณิชย์
สำหรับผลประกอบการปี 2551 ของธนาคารพาณิชย์ที่แจ้งตลาดหลักทรัพย์ 11 แห่ง ปรากฎว่า มีกำไรสุทธิ 8 หมื่นล้าน หรือเพิ่มขึ้นจากปีก่อน 7.5 หมื่นล้านบาท คิดเป็น 1,458% ธนาคารที่มีผลประกอบการเพิ่มขึ้นมากสุดเมื่อเทียบเป็นเปอร์เซ็นต์คือ ธนาคารหลวงไทย ธนาคารกรุงศรีอยุธยา ธนาคารทหารไทย ตามลำดับ ส่วนธนาคารกสิกรไทยกำไรทั้งสิ้น 1.5 หมื่นล้านบาท ขณะที่ ปัจจุบันอัตราดอกเบี้ยเงินฝากของธนาคารพาณิชย์โดยเฉลี่ยอยู่ที่ 1.75% ส่วนอัตราดอกเบี้ยเงินกู้อยู่ที่ 7%
นายวิโรจน์ นวลแข อดีตกรรมการผู้จัดการ ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวถึงการทำธุรกิจของธนาคารพาณิชย์ในปัจจุบัน โดยยืนยันว่า มีการเอาเปรียบลูกค้าทั้งลูกค้าเงินฝากและลูกค้าเงินกู้ เห็นได้จากส่วนต่างดอกเบี้ย ที่สูงกว่าธนาคารพาณิชย์ในต่างประเทศ โดยปัจจุบันส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยของไทยเฉลี่ยอยู่ที่ 5% สูงเป็นอันดับ 2 ในประเทศอาเซียน เป็นรองแค่อินโดนีเซียเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม ธนาคารพาณิชย์ไทย มักอ้างว่าได้ส่วนต่างดอกเบี้ยแค่ 2.5% เท่านั้น อีก 2.5% ที่เหลือเป็นต้นทุนการบริหารงาน เรื่องดังกล่าว ตนถือว่าไม่เป็นธรรม ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทย เพราะธนาคารไม่จูงใจให้ผู้ฝากเกิดการออม ส่วนผู้ประกอบการต้องแบกรับต้นทุนจากดอกเบี้ยเงินกู้ที่แพง
นายวิโรจน์ ระบุว่า ต้นทุนการบริหารงานในความหมายของแบงก์ คือ การรวมเอาเงินนำส่งเงินกองทุนฟื้นฟู 0.4% กับค่าบริหารหนี้เสีย (เอ็นพีแอล) อีก 0.8-1.0% การนำสองส่วนนี้มารีดจากดอกเบี้ยถือว่าไม่ถูกต้อง เพราะสองส่วนดังกล่าวโดยเฉพาะค่าบริหารเอ็นพีแอลถือเป็นความรับผิดชอบของแบงก์ หากเกิดหนี้เสียสิ่งที่ต้องทำคือการเพิ่มทุน แต่แบงก์ไม่ยอมเพิ่มทุน
นายวิโรจน์ กล่าวสรุปทิ้งท้ายว่า หากธนาคารไม่นำเงินนำส่งเงินกองทุนฟื้นฟู กับค่าบริหารหนี้เสียมารวมเป็นต้นทุน ดอกเบี้ยลูกค้าเงินกู้ในปัจจุบันลงได้ประมาณ 0.5% ส่วนผู้ฝากเงินก็จะได้ผลตอบแทนดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นอีก 0.4%
|
|
Tags: |
|
![]() |
|
|
'บัณฑูร' นั่งแท่นผู้บริหารเคแบงก์แทน 'ประสาร' http://www.thairath.co.th/content/eco/96259
บัณฑูร ล่ำซำ ขึ้นแท่นผู้บริหาร เคแบงก์แทน "ประสาร" หลังลาออกเพื่อรับตำแหน่งผู้ว่าแบงก์ชาติ พร้อมปรับโครงสร้างผู้บริหารใหม่ 4 ด้าน
เมื่อวันที่ 14 ก.ค. นายบัณฑูร ล่ำซำ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า จากการที่นายประสาร ไตรรัตน์วรกุล กรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย ได้ลาออกเพื่อไปดำรงตำแหน่งผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยนั้น คณะกรรมการธนาคารกสิกรไทย มีมติให้นายบัณฑูร ล่ำซำ เป็นประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการ ทั้งนี้ คณะกรรมการธนาคารยังได้ขอบคุณและชื่นชม แสดงความยินดีกลับนายประสาร ที่ไปดำรงตำแหน่งผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ขณะที่ส่วนตัวแล้ว นายประสารเป็นเพื่อน ที่เข้ามาร่วมงานเพื่อพัฒนาเครือธนาคารกสิกรไทยให้ก้าวหน้า และดีใจที่นายประสารได้นำความรู้ที่ผ่านงานทั้งภาครัฐและเอกชน ความมีวันัย ความดีที่สะสม ไปทำงานที่ ธปท. จะทำประโยชน์ให้ประเทศชาติได้อย่างมหาศาล
"แบงก์กสิกรไทย เสียคนอย่างภาคภูมิใจ หากผู้ดำรงตำแหน่งบริหารสายการบินแห่งชาติไม่ได้ ก็เอาไปจากกสิกรไทย (นายปิยสวัสดิ์ อัมระนันท์ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัทการบินไทย) หากผู้ว่าการ ธปท.ไม่ได้ก็เอาไปจากกสิกรไทย (นายประสาร ไตรรัตน์วรกุล) หากวันข้างหน้าหากหัวหน้าพรรคการเมืองไม่ได้ มิต้องมาเอาที่ธนาคารกสิกรไทยอีกหรือ"นายบันฑูร กล่าว
นายบัญฑูร กล่าวอีกว่า ที่ประชุมยังมีมติปรับโครงสร้างการบริหารของเครือธนาคารกสิกรไทยเป็น 4 ภูมิ (Domain) และมีผู้ประสานงานภูมิ 4 คน ได้แก่ นายกฤษฎา ล่ำซำ รองกรรมการผู้จัดการ เป็นผู้ประสารงานภูมิด้านธุรกิจ ทั้งเรื่องการบริการลูกค้า (สินเชื่อและธุรกรรม) การออกผลิตภัณฑ์ใหม่ การตลาดทั่วไป นายปรีดี ดาวฉาย รองกรรมการผู้จัดการ ดูแลภูมิ ประสานงานภูมิด้านบริหารความเสี่ยง ทั้งนี้เรื่องการบริหารคุณภาพหนี้ การกำกับการปฏิบัติตามกฎ การตรวจสอบภายใน นายธีรนันท์ ศรีหงส์ รองกรรมการผู้จัดการ เป็นผู้ประสารงานภูมิด้านโครงสร้างพื้นฐาน ทั้งเรื่องระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ การปฏิบัติการ และโครงการ K-Transformation และนายสมเกียรติ ศิริชาติไชย รองกรรมการผู้จัดการ เป็นผู้ประสารงานภูมิด้านทรัพยากร
"ถึงเวลาแล้ว ที่ต้องให้ผู้บริหารที่เป็นคนรุ่นใหม่ เข้ามาพิสูจน์ฝีมือ ตอนนี้บอร์ดแบงก์รู้สึกว่ายังไม่พร้อม จึงให้ผมนั่งตำแหน่งกรรมการผู้จัดการไปก่อน และรายงานให้ผู้ว่าการธปท.คนปัจจุบันได้รับทราบแล้ว และไม่ได้ขัดข้องแต่อย่างไร และหากเห็นว่าพร้อมแล้ว จะแต่งตั้งทันที ส่วนคนนอกไม่ได้อยู่ในความคิดที่ให้เข้ามาดำรงตำแหน่งกรรมการผู้จัดการ" นายบัณฑูร กล่าว.
|
|
Tags: |
|
![]() |
|
|
ผมไม่สนใจหรอกว่านายบัณฑูรจะเกี่ยวข้องกับการเมืองตามข้อครหาหรือไม่ จะเอาใครมาเป็นกรรมการผู้จัดการใหญ่แทนนายประสารก็เป็นเรื่องภายในของธนาคาร จะแสดงวิสัยทัศน์ปฏิรูปหรือปฏิวัติสังคมไทยอย่างไรก็เป็นเรื่องที่ใคร ๆ ก็มีสิทธิ์ที่จะคิดกันได้ แต่ตอนนี้คุณมาดำรงตำแหน่งที่รับผิดชอบโดยตรงใหญ่สุดในธนาคารกสิกรไทย ต่อให้คุณได้รางวัลแบงค์ดีเด่นยอดเยี่ยมติดต่อกันเพิ่มอีกสักกี่รางวัลก็ตามแต่ ในเมื่อคุณไม่ใส่ใจแก้ไขการขูดรีดเอารัดเอาเปรียบลูกค้าจนเกินเลยขอบเขตคุณธรรมที่พึงมี ดังตัวอย่างที่ผมได้ร้องเรียนถึงคุณหลายต่อหลายฉบับ รวมทั้งข้อมูลที่ลงในเว็บนี้ต่อเนื่องมาหลายเดือนด้วย แล้วคุณก็ยังไม่รู้สึกละอายใจบ้างเลยเช่นนี้ ผมว่าคุณค่าภาพลักษณ์ต่าง ๆ ที่สร้างไว้ไม่น่าจะสมคำร่ำลือ คุณหรือศึกษาศาสนาพุทธและสนใจปฏิบัติธรรมจริง ผมว่าคุณเอามาเพื่อยกตัวยกตนให้คนนับถือเสียมากกว่า บรรดาขี้ข้าศักดินาเผด็จการทรราชชาติชั่วที่ชูหน้าตาสลอนอยู่ในปัจจุบันนี้ มีใครบ้างไหมที่จะกล้าพอที่ยอมรับความจริงว่ากำลังรับใช้พญามารทำลายชาติบ้านเมืองให้ล่มจม น่าเสียดายภูมิความรู้ที่ร่ำเรียนมามากมาย ตำแหน่งยศฐาบรรดาศักดิ์ก็ใหญ่โตไม่เบา (เกือบจะได้รับการแต่งตั้งให้เป็นหัวหน้าพรรคประชาวิบัติก่อนนายอภิสิทธิ์ ดีนะที่ปฏิเสธไป) เกิดมาก็อยู่ในฐานะคุณหนูผู้ร่ำรวยที่ไม่เคยลำบาก แต่ใจกลับเสมือนเป็นทาสรับใช้หัวหน้าโจรกบฏ อย่างนี้ก็เหมือนคนตกอยู่ในมิจฉาทิฏฐิซึ่งต้องตกอยู่ใต้อบายภูมิ หรือคุณว่าไม่จริง ?
|
|
Tags: |
|
![]() |
|
|
(ตอบข้อความของคุณ 000001? ที่ถูกลบไป เกี่ยวกับสังคมที่เละเทะกันทั้งนั้น และเรื่องการเกิดมาคนละชั้นกัน ?) ผมว่าคนเราควรมีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์เท่าเทียมกันครับ ในระบอบประชาธิปไตยที่แท้จริง ทุกคนมีสิทธิ 1 เสียงเท่าเทียมกัน ในศาสนาพุทธก็ไม่มีการแบ่งแยกชนชั้นเช่นศาสนาพราหมณ์ คนวรรณกษัตริย์หากบวชทีหลังคนวรรณะศูทร ก็ต้องไหว้พระที่บวชก่อน ทั้งนี้เพื่อทำลายทิฏฐิมานะความดื้อดึงถือตัวถือตนที่เป็นกิเลสหรือสนิมในใจเบื้องต้นทิ้งให้ได้ก่อน สิ่งสำคัญคือหากเป็ฯมนุษย์ที่แท้จริง ก็ควรมีจิตใจสูงสูงกว่าสัตว์เดรัจฉาน จริงไหมครับ หากทำตัวเลวชาติเช่นสัตว์หรือแย่ยิ่งกว่าสัตว์ เขาก็เปรียบเช่นพวกตกอยู่ใต้อบายภูมิ 4 มีจิตใจเร่าร้อน ต่อให้อยู่บนกองเงินกองทอง ปราศจากความสงบสุขอย่างแท้จริง ฉะนั้นคนเราเกิดมาควรเคารพนับถือกันที่การเป็นคนดีมีศีลธรรมเป็นหลักจะดีกว่า [พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน [อะบายยะพูม] น. ภูมิที่เกิดอันปราศจากความเจริญ มี ๔ คือ นรก เปรตวิสัย อสุรกายภูมิ และกําเนิดดิรัจฉาน. (ป., ส. อปาย).] คติ ๘ ภาษาคน-ภาษาธรรม http://www.buddhadasa.com/dhamanukom/language30.html คติทั้ง ๘ นี้ ก็มีพูดอย่างภาษาคน หรือภาษาสมมติของชาวบ้าน นั้นอย่างหนึ่ง เมื่อพูด ภาษาธรรมของนักปราชญ์ของผู้รู้ โดยแท้จริงนั้นก็อีกอย่างหนึ่ง
ของ ๘ อย่างนี้ ถ้าพูดอย่าง ภาษาชาวบ้าน ที่เขาพูดทางศีลธรรม ชักชวนให้กลัวบาปกลัวกรรม ตามแบบของชาวบ้านนั้น เขาก็พูด เป็นบ้านเป็นเมืองเป็นโลก
นรก ก็คือเมืองนรก อยู่ข้างใต้ลงไปนี้ ร้อนเป็นทุกข์.
เดรัจฉาน คือ โลกของสัตว์เดรัจฉาน: วัว ควาย ช้าง ม้า เป็ด ไก่.
เปรต คือ สัตว์ที่ผอมโซ เพราะความหิว เจ็บป่วย ร่างกายเปื่อยเน่า ผุพัง นี่เป็นพวกเปรต อยู่ในโลกที่มองเห็นได้ยากเหลือเกิน เพราะ ไม่มีร่างกายที่ดูได้ง่ายๆ.
อสุรกาย คือ พวกที่ไม่เห็นตัวเลย ซ่อนตัวได้มิดชิด ไม่มีใครเห็นตัว เรียกว่า อสุรกาย นี้ภาษาชาวบ้านพูด แล้วเขียนรูปภาพตามผนัง โบสถ์เป็นอย่างนี้.
แต่ว่า ภาษาธรรม นั้น หมายอีกอย่างหนึ่ง คือ เป็นสภาพ เป็นภาวะ- ทางจิตใจ เพราะเป็นภาษาจิตใจ ก็ชี้ไปยังภาษาของจิตใจ หรือภาวะทางจิตใจ
นรก นี่คือ ภาวะที่กำลังร้อนใจ เป็นไฟเผาลน อยู่ในตัวคน
เดรัจฉาน คือ ความโง่ ที่มีอยู่ในตัวคน เพราะ สัตว์เดรัจฉาน นั่นคือ โง่ ความโง่ นั้นมาอยู่ในตัวคน โลกเดรัจฉาน มาอยู่ในใจคน ในตัวคน
เปรต คือ ความทะเยอทะยาน ความหิว ด้วยกิเลสตัณหา ในนั่นในนี่ ในกามารมณ์ หรือ ในความหวัง อะไรก็ตาม หวังจนนอนไม่หลับ หิวจนนอนไม่หลับ เปรียบเหมือนกับว่า มีปากเท่ารูเข็ม มีท้องเท่าภูเขา มันจะกินเข้าไปให้ทันได้อย่างไร มันก็หิวเรื่อย.
อสุรกาย คือ ความกลัว ความกลัวเป็นปัญหาใหญ่ รบกวนจิตใจ เหลือเกิน นี่คือ อสุรกาย หรือ โลกของอสุรกาย ที่มันอยู่ในใจคน
นี่พูดอย่างภาษาผู้รู้ ทั้ง ๔ อย่างนี้ ทุคติทั้ง ๔ อย่างนี้ มีอยู่ในคน อยู่ในจิตใจของคน เมื่อพูดอย่างที่ชาวบ้านพูด คือ ชาวบ้านเป็นผู้ที่เข้าใจเรื่องอย่างนี้ไม่ได้ ก็เลยพูดให้มันเป็นวัตถุ เป็นโลกทางวัตถุขึ้นมา โลกนรก โลกเดรัจฉาน โลกเปรต โลกอสุรกาย อยู่ที่นั่นที่นี่ ทิศนั้นทิศนี้ มีอาการอย่างนั้นอย่างนี้
โดยเฉพาะ โลกนรกอยู่ข้างล่าง ข้างใต้สุดลงไป มีหลายชนิด เหมือนกัน นรกล้วนแต่ร้อน ล้วนแต่เจ็บปวด คือเดือดร้อนทั้งนั้น มันก็คือ คติที่จะต้องไปหรือการไป ไปสู่โลกนรกไปสู่โลกเดรัจฉาน ไปสู่โลกเปรต ไปสู่โลกอสุรกาย นี้ก็ต้องถือว่าผิด ไม่มีใครต้องการ ไม่มีใครปรารถนา ที่ไป ๔ แห่ง นี้เป็นทางผิด เรียกว่า ทุคติ.
ทีนี้ สุคติ ความเป็นมนุษย์เป็นเทวดา ๓ ชนิด รวมกันเป็น ๔ ชนิดนี้ เขาเรียกว่า สุคติ ยังน่าไป หรือ มันชวนให้ไป.
สำหรับความเป็นมนุษย์ นี้ พูดตรงกัน คือในโลกอย่างมนุษย์นี้ แต่ภาษาชาวโลกภาษาโลก เอาตัวแผ่นดินโลกนี้ เอาตัวคนที่สักว่า เป็นคนนี้ เป็นมนุษย์โลก แต่ภาษาธรรมะ เขาเอาความหมาย หรือ คุณสมบัติของความเป็นคน ว่าเป็นมนุษย์ ว่าเป็นคน
อย่างเมื่อคุณบวช ถูกถามว่าเป็นมนุษย์หรือเปล่า นี่มีความหมายพิเศษ เห็นอยู่โต้งๆ ว่า รูปร่างเป็นมนุษย์ ทำไมยังถามว่า เป็นมนุษย์หรือเปล่า? ข้อนี้เล็งไปถึง คุณสมบัติอย่างมนุษย์ ความรู้สึกอย่างมนุษย์ ความต้องการอย่างมนุษย์ คุณมีหรือเปล่า? นั่นแหละ คือ ความเป็นมนุษย์ มนุษย์ในภาษาธรรม มันหมายถึงอย่างนี้ ไม่ใช่ หมายถึง เกิดมามีรูปร่างอย่างนี้ หรือว่าอยู่ในโลกนี้.
ทีนี้ เทวดาในกามโลก ตามภาษาคน ก็มีข้างบน เป็นสวรรค์ เป็นวิมาน มีเทวบุตร มีนางฟ้า มีพระอินทร์ อะไรก็แล้วแต่ คือว่า เป็นกลุ่มของสัตว์ที่ สนุกสนาน สบาย สวยสด งดงาม อะไรนี่ นี่ภาษาโลกๆ ภาษาคน ภาษาธรรมะ ภาษาของสติปัญญา ก็คือว่าภาวะที่กำลังสมบูรณ์ ด้วยกามารมณ์ คือของถูกอกถูกใจ ในเวลาใดเป็นอย่างนั้นเวลานั้น เรียกว่า เป็นสวรรค์ชั้นกามาวจร ในจิตใจของคนนั่นเอง เมื่อคนบางคน หรือว่า บางขณะก็ตาม เขามีโอกาสที่จะมี ความเพลิดเพลิน อยู่ด้วยกามารมณ์ เวลานั้น ขณะนั้น ที่นั้น เขาก็เป็นเทวดา ประเภท กามาวจร
เทวดาที่สูงขึ้นไป เป็น รูปพรหม นั้น เป็นเทวดาที่ไม่แตะต้อง กามารมณ์ อยู่ด้วยวัตถุ รูปธรรมอย่างใดอย่างหนึ่ง ที่บริสุทธิ์ เพลิดเพลินอยู่กับสิ่งนั้น ภาษาคนก็พูดไว้เป็นโลกอีกโลกหนึ่ง สูงขึ้นไปอีก สูงขึ้นไปจากโลก อย่างที่เป็นอย่าง กามารมณ์นั้น แต่ถ้าเป็นภาษาจิตใจ ก็หมายถึง จิตใจในบางครั้ง มันเกลียด กามารมณ์ จิตใจสูง เกินกว่าที่จะไปรัก กามารมณ์ ในบางขณะ ของคนเรานี้ ภาวะจิตอย่างนั้น เรียกว่า รูปพรหม เป็นได้น้อยๆ ชั่วขณะก็ยังดี หรือ มันจะเป็น จนตลอดชีวิต ก็ได้ สำหรับบางคน อยู่ได้ด้วยความผาสุก ไม่เกี่ยวข้องกามารมณ์ จนตลอดชีวิต จะ อยู่ด้วย วัตถุสิ่งของ ที่เป็นที่พอใจ หรือว่า อยู่ด้วยสมาธิ ที่เกิด มาจาผมปธรรม ที่เป็นอารมณ์ สบายอยู่ด้วยสมาธิ อย่างนั้น ก็ เรียกว่า รูปพรหม
เทวดาอันสุดท้าย ก็เป็น อรูปพรหม คล้ายๆ กัน แต่ไม่เอาสิ่งที่มีรูป เป็นที่เพลิดเพลิน เอาสิ่งที่ไม่มีรูป เป็นนามธรรม ที่เกี่ยวกับสมาธิ หรือ สมาบัติ เขาเอาความว่างเปล่า ไม่มีอะไร เป็นอารมณ์ ของ สมาธิ แล้วจิตหยุดอยู่ด้วยความพอใจ ในความเป็นอย่างนั้น มันก็ สบายถึงที่สุด สูงสุดไปตามแบบของเขา
รวมความแล้วก็ว่า ถ้าพูดอย่างภาษาคน ภาษาชาวบ้าน ก็เป็นวัตถุ เป็นโลก เป็นบ้าน เป็นเมือง ทั้ง ๘ แห่งนี้ ถ้าพูดอย่าง ภาษาธรรม ภาษาจิตใจ ก็คือ ภาวะของจิตใจ ๘ ชนิด ที่มีอยู่ใน จิตใจของคน คนนี่ มันเป็น เหมือนกับ มิเดียม ตรงกลาง จะเปลี่ยนเป็นอย่างไร ก็ได้ ในที่สุด นับตัวเอง เข้าไปด้วย ก็เลยเป็น ๘ อย่าง ถ้าจะเอา ความหมาย ให้ชัดเจน เฉพาะมนุษย์ นี้ก็คือ มนุษย์นี่ต้อง ลำบาก พอสมควร เพื่อจะแลกเอา กามารมณ์ เอาสิ่งที่ตัวรัก ตัวชอบใจ นี่เป็นมนุษย์ แต่ถ้าเป็นเทวดา ไม่ต้องอาบเหงื่อ ต่างน้ำ เหมือน มนุษย์ ไม่ต้องเหน็ดเหนื่อย เพื่อแลกกามารมณ์ นี่มีบุญมาก มี เหตุปัจจัย ที่ทำไว้อย่างนั้น
เต กิจฉ ๑๗.ง/๑๙๐-๑๙๓
|
|
Tags: |
|
![]() |
|
|
บัณฑูร ล่ำซำ จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี http://th.wikipedia.org/wiki/บัณฑูร_ล่ำซำ
บัณฑูร ล่ำซำ เป็นนักธุรกิจที่มีการกล่าวอ้างว่าเป็นผู้พาธนาคารกสิกรไทยให้รอดวิกฤติ ในขณะเดียวกันก็เป็นคนที่ริเริ่มนำคำว่า รื้อปรับระบบ องค์กร หรือ reengineering มาใช้ในประเทศไทยด้วย อย่างไรก็ตาม ภายหลังจากวิกฤติตระกูลล่ำซำกลายเป็นแต่เพียงผู้ถือหุ้นส่วนน้อยของธนาคาร กสิกรไทย เช่นเดียวกับตระกูลเจ้าของธนาคารไทยอื่นๆ นายบัณฑูรได้รับการวิพากษ์วิจารณ์ว่ามีบุคลิกแข็งกร้าว เคยปะทะคารมกับ พันตำรวจโท ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีมาแล้ว เพราะมีความเห็นไม่ตรงกันในเรื่องนโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาล และ เคยมีข่าวคราวว่าได้รับการทาบทามจากพรรคประชาธิปัตย์ให้รับตำแหน่งหัวหน้าพรรค ในปี พ.ศ. 2547
นายบัณฑูร ล่ำซำ เกิดเมื่อวันที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2496 มีชื่อเล่นว่า " ปั้น " เป็นบุตรของนายบัญชา ล่ำซำ และหม่อม ราชวงศ์สำอางวรรณ ล่ำซำ (นามสกุลเดิม "เทวกุล" เป็นพี่สาวต่างมารดาของ ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล) มีกิจกรรมยามว่างคือ พายเรือแคนูที่แม่น้ำเจ้าพระยา ยามเย็น ข้างสำนักงานใหญ่ ธนาคารกสิกรไทย
การ ศึกษา
* โรงเรียนเซนต์คาเบรียล * โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ประสานมิตร * สำเร็จปริญญาตรี สาขาวิชาวิศวกรรมเคมี (BA in Chemical Engineering) จากมหาวิทยาลัยพรินซ์ตัน สหรัฐอเมริกา * สำเร็จปริญญาโท บริหารธุรกิจ (MBA) จาก Harvard Business School (HBS) ของมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด สหรัฐอเมริกา
หน้าที่ การงานในปัจจุบัน
* ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กสิกรแบ็งก์ * ประธานกรรมการผู้จัดการ มูลนิธิมหามกุฏราช วิทยาลัย ในพระบรมราชูปถัมภ์ * กรรมการมูลนิธิ สมเด็จพระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า [1]
อ้างอิง
1. ^ สมุดบันทึกภาพถ่ายฝีพระหัตถ์ สมเด็จพระเทพรัตนฯ ในร่มเงาวังสระปทุม
* ประวัติบุคคล สำนักข่าวไทย * บ้านสามญาณ ล่ำซำ พุทธมามกะ และข้าแผ่นดิน
|
|
Tags: |
|
![]() |
|
|
เปิดขุมทรัพย์"ประชาธิปัตย์"กะจั๊วการเมืองไทย http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=kheyesarn&month=17-12-2008&group=5&gblog=26
(จาก เปิดขุมทรัพย์"ประชาธิปัตย์" เปิดฉาก"การเมืองนอมินี" 8 มิถุนายน พ.ศ. 2550 06:00:00 http://www.bangkokbiznews.com/2007/06/08/WW73_7301_news.php?newsid=77818)
ทุน"กับ"การเมือง"แยกกัน ไม่ออก" นี่เป็นคำเปรียบเปรยของบิ๊กทุนใหญ่ของเมืองไทย ยอมรับกันกลายๆ ว่าไม่ว่ายุคไหนสมัยไหน กลุ่มทุนก็มีบทบาทในระบบการเมืองแบบไทยๆ
กรุงเทพ ธุรกิจออนไลน์ : ลมเปลี่ยนทิศ ทุนเปลี่ยนขั้ว
ล่ำซำ-สารสิน ฯลฯ ผงาด
หลัง เหตุการณ์รัฐประหารในวันที่ 19 กันยายน 2549 ตามมาด้วยการวินิจฉัยยุบพรรคไทยรักไทย และตัดสิทธิเลือกตั้งของกรรมการบริหารพรรคเป็นเวลา 5 ปี ขณะที่พรรคประชาธิปัตย์พ้นข้อกล่าวหา
ถือเป็นจุดเปลี่ยน “โฉมหน้า” ทางการเมืองครั้งสำคัญ
เพราะเป็นเหมือนอวสาน "กลุ่มทุน" ไทยรักไทย จากที่เคย "เอ็นจอย" การเกาะกุมผลประโยชน์จากนโยบายต่างๆ
คงไม่น่า แปลกใจถ้าจะเห็น "การตีจาก" การเคลื่อนย้ายของกลุ่มทุน
จากขั้วการ เมืองเก่าสู่ขั้วการเมืองใหม่
เพราะธรรมชาติของนักธุรกิจ นั้น..."ลื่นไหล" ไม่แพ้นักการเมือง
"ไม่มีมิตรแท้ และศัตรูที่ถาวร"
...ผล ประโยชน์สิแน่กว่า !!!
ก่อน หน้าที่จะเกิดความเปลี่ยนแปลงทางการเมือง เป็นที่ทราบกันดีว่า เงินบริจาคเข้าพรรคไทยรักไทยจัดอยู่ในระดับ “อู้ฟู่” กว่าพรรคประชาธิปัตย์
แต่ ภายหลังเกิดเหตุการณ์ปฏิวัติ สถานะเงินบริจาคของพรรคไทยรักไทยออกอาการง่อนแง่นทันที สังเกตได้จากยอดเงินบริจาคของพรรคที่ลดฮวบ "สวนทาง" กับยอดเงินบริจาคของพรรคประชาธิปัตย์ ที่เริ่มงอกเงย
ย้อนดูตัวเลข ก่อนหน้าที่จะมีความเปลี่ยนแปลงทางการเมือง เดือนเมษายน 2549 ยอดบริจาคเข้าพรรคไทยรักไทยพุ่งสูงระดับ 80 ล้านบาท ขณะที่เงินบริจาคเข้าประชาธิปัตย์มีล้านกว่าบาท หรือเดือนกรกฎาคม ยอดบริจาคไทยรักไทยอยู่ที่ 50 ล้านบาท ส่วนเงินบริจาคเข้าพรรคประชาธิปัตย์ยังอยู่ที่หลัก 1 ล้านบาทเหมือนเดิม
แม้ วงเงินบริจาคหลักๆ ของพรรคไทยรักไทยในช่วงนั้น จะมาจากคุณหญิงพจมาน ชินวัตร และบรรณพจน์ ดามาพงศ์ แต่ก็มีผู้บริจาครายอื่นๆ หลายหน้าสมทบด้วย
ทว่า เมื่อพรรคไทยรักไทยเผชิญวิกฤติทางการเมือง ในเดือนกันยายน พบว่า ยอดเงินบริจาคให้พรรคไทยรักไทยจากหลักล้านลดลงเหลือแสนกว่าบาท (123,340 บาท) ขณะที่ยอดเงินบริจาคให้พรรคประชาธิปัตย์ เพิ่มขึ้นเป็นยี่สิบเอ็ดกว่าล้านบาท ( 21,118,800 บาท) ทันที
ยิ่ง 1 เดือนให้หลังการปฏิวัติ ปรากฏว่าเงินบริจาคเข้าไทยรักไทยประจำเดือนตุลาคม 2549 เหลือเพียง “รายเดียว” โดยเป็นการบริจาคของนายไชยยศ สะสมทรัพย์ ที่มีลักษณะตัดบัญชีทุกเดือนๆ ละ 23,340 บาท
ขณะที่ตัวเลขเงินบริจาค เข้าประชาธิปัตย์แม้จะอยู่ที่หลัก 1.8 ล้านบาท แต่จำนวนผู้บริจาคก็เพิ่มขึ้นอย่างคึกคัก
ใน จำนวนนั้น ผู้บริจาคเงินหลักๆ ของประชาธิปัตย์ ก็เช่น กรณ์ จาติกวณิช 5 ล้านบาท, ประกอบ จีรกิติ (น้องเขยบุญชัย เบญจรงคกุล) 5 ล้านบาท และพี่เบิ้ม โพธิพงษ์ ล่ำซำ บริจาคคนเดียว 10 ล้านบาท ตามด้วยเจ้าเก่า "ศรีสุบรรณฟาร์ม" ธุรกิจของนายสุเทพ เทือกสุบรรณ (เลขาธิการพรรค) วงเงิน 1 ล้านบาท
เป็น การบริจาคที่สะท้อนถึง "แต้มต่อ" ของประชาธิปัตย์ที่อยู่เหนือพรรคไทยรักไทย
การ เลือกตั้งที่ (อาจจะ) มีขึ้น จึงไม่เพียงพลิกโฉมหน้าการเมืองไทยเท่านั้น แต่ยังทำให้เกิดการพลิกโฉมหน้า “กลุ่มทุน” ทางการเมือง ทั้งในที่ลับและที่แจ้ง (ผ่านการบริจาคเงินให้กับพรรคการเมือง)
ทั้ง ในแง่ของ “ตัวบุคคล” และ “รูปแบบ” ของการเข้ามาสนับสนุนพรรคการเมือง
นัก ธุรกิจในคราบนักการเมืองที่เห็นกันอย่างโจ่งแจ้งอาจจะน้อยลง เพราะนั่นคือบทเรียนอันเจ็บปวด นำไปสู่จุดจบของพรรคไทยรักไทย และอดีตนายกรัฐมนตรี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร
ทว่ามองกันว่า การแฝงตัวในลักษณะนอมินี (ตัวแทน) จะมีมากขึ้น !!!
อาจ จะไม่ได้เห็นชื่อของคนในตระกูล จึงรุ่งเรืองกิจ, มหากิจศิริ, วงศ์สวัสดิ์, เกยุราพันธุ์, สะสมทรัพย์, ชินวัตร ฯลฯ ที่เคยให้การสนับสนุนทางการเงินกับพรรคไทยรักไทยอย่างออกนอกหน้า หรือการส่งคนในตระกูลมายึดกุมนโยบายของรัฐบาลอย่างเปิดเผยอีกต่อไป
แต่ ด้วยระบบการเมืองของไทย “ไพโรจน์ วงศ์วิภานนท์" นักวิชาการจากมหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ ให้ความเห็นถึงบทบาทของกลุ่มทุนการเมืองว่า เนื่องจากระบอบการเมืองไทยยังคงมีลักษณะความเป็น Money Politics คือเป็นการเมืองที่มีการสนับสนุนโดยกลุ่มทุน ขณะที่นักการเมืองยังจะต้องพึ่งพิงกับกลุ่มทุนเพื่อสนับสนุนพรรค ทำให้กลุ่มทุนยังคงมีบทบาทต่อพรรคการเมืองอยู่
กระแสเม็ดเงินที่ เริ่มไหลเข้าประชาธิปัตย์ย่อมจะ “คอนเฟิร์ม” ได้ระดับหนึ่งว่า เกิดจากการเก็งกันว่า…การเลือกตั้งที่จะมีขึ้นในอนาคต พรรคประชาธิปัตย์ จะได้เป็น “แกนนำ” ในการจัดตั้งรัฐบาล
แม้กลุ่มทุนใหญ่จะยังคงรีรอ ไม่ปรากฏชื่อ ไม่ปรากฏกายในขณะนี้ แต่จากข้อมูลสรุปยอดเงินบริจาคพรรคการเมืองของคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ทำให้เห็นว่า “ใคร” คือถุงเงินของพรรคประชาธิปัตย์บ้าง
|
|
Tags: |
|
![]() |
|
|
ล่ำซำ สังขะทรัพย์ เทือกสุบรรณ แก้วทอง พร้อมพันธุ์ ฯลฯ เหล่านี้คือ “ถุงเงิน” หลักๆ ให้กับพรรคประชาธิปัตย์
ราย ชื่อแรก เขาคือถุงเงิน (ตลอดกาล) ตัวจริงเสียงจริง “โพธิพงษ์ ล่ำซำ” เจ้าของธุรกิจเมืองไทยประกันชีวิต ที่สนับสนุนพรรคประชาธิปัตย์มาอย่างต่อเนื่อง
โดยเฉพาะการทุ่มเงิน บริจาคมากถึง 10 ล้านบาท ในเดือนกันยายน 2549 เดือนที่เกิดเหตุการณ์รัฐประหาร (19 กันยายน) หัวเลี้ยวหัวต่อการเมืองไทย
โพธิ พงษ์คงรู้ว่าประชาธิปัตย์ต้องการใช้เงินมาใช้ในกิจกรรมทางการเมืองเพียงไร และปัจจุบันโพธิพงษ์ ยังนั่งเป็นกรรมการในสภาที่ปรึกษาพรรค และยังเป็นหนึ่งในคณะทำงานด้านเศรษฐกิจของพรรคประชาธิปัตย์
แม้เขา มีท่าทีวางมืออยู่เบื้องหลังการเมือง แต่ก็ได้ส่งลูกสาว “นวลพรรณ ล่ำซำ” หนึ่งในผู้บริหารเมืองไทยประกันชีวิต และทำธุรกิจนำเข้าเสื้อผ้าและเครื่องหนังแบรนด์ดังจากต่างประเทศ อาทิเช่น แอร์เมส จากฝรั่งเศส, เอ็มโพลิโอ อาร์มานี จากฝรั่งเศส, ทอดส์ โรโด จากอิตาลี เข้าสู่แวดวงการเมือง โดยมีสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ เป็นพี่เลี้ยง
ล่ำซำสายนี้ยังอาจจะ เชื่อมโยงไปถึง “บัณฑูร ล่ำซำ” ประธานเจ้าหน้าที่บริหารธนาคารกสิกรไทย หลานชาย ที่อยู่ "คนละขั้ว" ความคิดกับอดีตนายกรัฐมนตรีอย่างสุดโต่งก็ได้
แม้ บัณฑูรจะไม่เคยแสดงท่าทีใดๆ กับพรรคประชาธิปัตย์ แต่ก็มีสายสัมพันธ์อันแนบแน่นระหว่างบัณฑูร กับ “ปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์” แคนดิเดทตำแหน่งรัฐมนตรีสายประชาธิปัตย์ในสมัยหน้า
เพราะบัณฑูร คือ คนที่ชักชวนให้ปิยสวัสดิ์มานั่งเก้าอี้ประธานกรรมการบริษัทจัดการกองทุนรวม กสิกรไทย เป็นแหล่งหลบเลียแผลใจในช่วงที่เขาลาออกจากตำแหน่งรองปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี จากความเห็นที่ขัดแย้งด้านนโยบายพลังงานกับรัฐบาลทักษิณ
ทั้ง ปิยสวัสดิ์เองก็เคยทำงาน “เข้าขา” กับประชาธิปัตย์เป็นอย่างดีสมัยที่ทำงานเป็นเลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการ นโยบายพลังงานแห่งชาติ และภรรยาของเขา (อานิก วิเชียรเจริญ) ยังเข้าไปช่วยงานเป็นที่ปรึกษาฝ่ายวิชาการให้กับพรรคประชาธิปัตย์มาระยะ หนึ่งแล้ว
จะว่าไปแล้ว ปิยสวัสดิ์ คือญาติห่างๆ ของบัณฑูร เนื่องจากมารดาของบัณฑูร ม.ร.ว.สำอางวรรณ ล่ำซำ (เทวกุล) และมารดาของปิยสวัสดิ์ ม.ร.ว.ปิ่มสาย อัมระนันทน์ สืบเชื้อสายต้นตระกูลมาจากรัชกาลที่ 4 เช่นกัน
|
|
Tags: |
|
![]() |
|
|
ถุงเงินที่มีบทบาท ในพรรคประชาธิปัตย์อีกคน คือ “เกียรติ สิทธีอมร” ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อ (ปาร์ตี้ลิสต์) พรรคประชาธิปัตย์ เขาถือเป็นนักธุรกิจที่ประกาศตัวเองเข้ามาสวมเสื้อสูทนักการเมืองอย่างไม่ ปิดบังอำพราง
ในฐานะหนึ่งในคณะทำงานด้านเศรษฐกิจ และกลุ่มงานยุทธศาสตร์ของพรรค เขายังทำตัวเป็น “กระบอกเสียง” ของพรรค ในการเปิดโปงประเด็นความไม่ชอบมาพากลของรัฐบาลชุดที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็น การแปรรูปการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) กรณีเครื่องตรวจจับระเบิด ซีทีเอ็กซ์ รวมไปถึงคดีประวัติศาสตร์การซื้อขายหุ้นชิน คอร์ปอเรชั่น ฯลฯ
ปัจจุบัน เกียรติ ยังเป็นที่ปรึกษากิตติมศักดิ์หอการค้านานาชาติแห่งประเทศไทย และอดีตประธานหอการค้านานาชาติแห่งประเทศไทย ทำให้มีสายสัมพันธ์ที่กว้างขวางกับนักธุรกิจทั้งในและต่างประเทศ
ใน แง่ธุรกิจส่วนตัว ในเดือนตุลาคม 2549 เขาได้ก้าวเข้าสู่ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ผ่านบริษัทโปร เอ็น โฮลดิ้งส์ ในการลงทุนพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในกรุงเทพฯ และหัวเมืองใหญ่ อย่างปราณบุรี และหัวหิน ด้วยทุนจดทะเบียนเบื้องต้นที่ 20 ล้านบาท
เกียรติยัง นั่งอยู่ในตำแหน่งประธานและกรรมการผู้จัดการ บริษัทโปร เอ็น คอนซัลแทนซ์ ดำเนินธุรกิจให้คำปรึกษาด้านการลงทุน ซึ่งเป็นธุรกิจที่ต้องใช้สายสัมพันธ์ค่อนข้างมาก ดูเหมือนจะเป็นงานถนัดของเขา
ไม่กล่าวถึงไม่ได้ สำหรับตระกูล “เทือกสุบรรณ” เพราะเป็นนามสกุลของเลขาธิการพรรค “สุเทพ เทือกสุบรรณ” นอกจากเขาจะเป็นแฟนพันธุ์แท้ที่อยู่กับพรรคประชาธิปัตย์มายาวนานแล้ว ในอีกฟากหนึ่ง เขายังเป็นเจ้าของบริษัทศรีสุบรรณฟาร์ม ธุรกิจเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำรายใหญ่ ใน จ.นครศรีธรรมราช บริษัทดังกล่าวบริจาคเงินสนับสนุนพรรคประชาธิปัตย์อย่างเป็นกอบเป็นกำและต่อ เนื่อง
จากการสรุปยอดเงินบริจาคพรรคการเมืองที่เผยแพร่โดย กกต.พบว่า ตามข้อมูลที่สืบค้น ตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2548-เมษายน 2549 ศรีสุบรรณฟาร์มได้บริจาคเงินจำนวน 1 ล้านบาท ให้กับพรรคประชาธิปัตย์ทุกเดือน เว้นก็แต่เดือนกุมภาพันธ์ 2550
ไม่ นับการบริจาคเงินในชื่อนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ทุกเดือน
นอก จากเงินส่วนตัวจากการประกอบธุรกิจเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำแล้ว ในฐานะเลขาธิการพรรค เชื่อแน่ว่ายังมีท่อน้ำเลี้ยงจากนักธุรกิจหลายคนที่ไม่ประสงค์ออกนาม บริจาคเงินให้กับพรรคประชาธิปัตย์ผ่านมายังนายสุเทพ
เลือดใหม่ที่ มาแรงของประชาธิปัตย์ คือ “กรณ์ จาติกวณิช” รองเลขาธิการพรรค ผู้ผ่านประสบการณ์ด้านตลาดเงิน ตลาดทุนมาพอตัว ตำแหน่งสุดท้ายของเขา ก่อนจะผันมาเล่นการเมือง คือซีอีโอ เจ.พี.มอร์แกน (ประเทศไทย)
ด้วย คุณสมบัติและทรัพย์สมบัติ ทำให้กรณ์มิใช่แค่หนึ่งใน “ทีมเศรษฐกิจ” ที่สร้างจุดขายให้กับพรรค หรือเป็นผู้เกาะติดวิพากษ์นโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาลทักษิณ โดยเฉพาะการชำแหละการซื้อขายหุ้นชินคอร์ปของกลุ่มตระกูลชินวัตร แต่เขาเป็นผู้บริจาคเงินรายหนักให้กับพรรครายหนึ่ง โดยเมื่อเดือนกันยายน 2549 กรณ์บริจาคให้กับพรรค 5 ล้านบาท
ถึงแม้จะทิ้งบทบาทนักธุรกิจ เป็นนักการเมืองเต็มตัว ทว่าศิษย์เก่าจากสำนักออกซ์ฟอร์ด ซึ่งกำลังจับจองบทบาทสำคัญในพรรคก็มี “คอนเนคชั่น” ในแวดวงธุรกิจจากสายสัมพันธ์ของตระกูล อาทิเช่น กลุ่มล็อกซเล่ย์ ของคุณหญิงชัชนี จาติกวณิช ภรรยาของเกษม จาติกวณิช ที่เป็นลุงของกรณ์
ขณะ ที่ตระกูล “โสภณพนิช” กลุ่มทุนจากธนาคารกรุงเทพ ยังอาจจะสอดแทรกเข้ามายังพรรคประชาธิปัตย์ได้ผ่านคุณหญิงกัลยา โสภณพนิช ที่นั่งตำแหน่งกรรมการสภาที่ปรึกษาพรรคประชาธิปัตย์ในปัจจุบันได้ เช่นเดียวกับ “พรวุฒิ สารสิน” ผู้บริหารบริษัทไทยน้ำทิพย์ ที่ปรากฏชื่อเขาบริจาคเงินให้กับพรรคประชาธิปัตย์อยู่เป็นระยะๆ
“บุญ ชัย เบญจรงคกุล” อดีตผู้บริหารดีแทค ที่ประกาศขายหุ้นตระกูลเบญจรงคกุลทั้งหมดในบริษัทยูไนเต็ด คอมมูนิเกชั่น จำกัด (มหาชน) หรือยูคอม ให้กับบริษัท ไทย เทลโค โฮลดิ้งส์ จำกัด ซึ่งถือหุ้นใหญ่โดย "เทเลนอร์" ถือเป็นกลุ่มทุนที่ใกล้ชิดกับพรรคประชาธิปัตย์ผ่าน “ประกอบ จีรกิติ” น้องเขย ปาร์ตี้ลิสต์อันดับที่ 39
“จิตติมา สังขะทรัพย์” ยังเป็นอีกหนึ่งตระกูลที่เป็นกลุ่มทุนของพรรคประชาธิปัตย์ ฐานที่เป็นภรรยาอดีตหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ "บัญญัติ บรรทัดฐาน" ที่ปัจจุบันบัญญัตินั่งอยู่ในตำแหน่ง กรรมการสภาที่ปรึกษาพรรคประชาธิปัตย์
นอก จากเป็นภรรยาอดีตหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์แล้ว จิตติมา ยังเป็นกรรมการบริษัทโรแยล ซีรามิค อุตสาหกรรม ผู้ผลิต นำเข้า และจัดจำหน่ายกระเบื้องเซรามิค ทั้งปูพื้นและบุผนัง ภายใต้เครื่องหมายการค้า “RCI” “MODENA” และเครื่องหมายการค้าอื่นๆ ที่บริษัทนำเข้าจากต่างประเทศ ทุนจดทะเบียน 314,285,710 บาท ในปี 2549 นี้มียอดขายรวม 1,644 ล้านบาท แบ่งเป็นยอดขายในประเทศ 1,606 ล้านบาท และส่งออก 38 ล้านบาท
ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2549 จิตติมายังติดอันดับผู้ถือหุ้น 20 อันดับแรก ที่ 2,179,630 หุ้น สัดส่วนถือหุ้น 0.69% เธอยังเป็นกรรมการหรือผู้บริหารร่วม ในบริษัท โรแยลเอเซียบริคแอนด์ไทล์ จำกัด, บริษัท จ๊อบเมคเคลนิเคิล ซัพพลาย (1992) จำกัด, บริษัท สังขะทรัพย์ จำกัด, บริษัท แมนน่า จำกัด และบริษัท บ้านสมถวิล จำกัด
“ไพฑูรย์ แก้วทอง” ปาร์ตี้ลิสต์อันดับ 4 เจ้าของธุรกิจรับเหมา อาทิเช่น บริษัทสระหลวง ก่อสร้าง, บริษัทชาละวัน เทรดดิ้ง, บริษัท ก.นราพัฒน์ และ “นิพนธ์ พร้อมพันธุ์ ปาร์ตี้ลิสต์ อันดับ 8 เจ้าของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และโรงเลื่อย เช่น โรงเลื่อยจักรไทยพูนสิน บริษัทไทยประสิทธิ์ทำไม้ บริษัทชนาพันธ์ ก็เป็นแหล่งทุนของประชาธิปัตย์มานาน
นอกจากนี้ในคณะกรรมการและคณะ ทำงานชุดต่างๆ ในพรรคประชาธิปัตย์ ยังมีตระกูลเก่า-ใหม่ ที่เดินสู่ถนนธุรกิจ เช่น คณะทำงานด้านเศรษฐกิจ ซึ่งปรากฏชื่อ ม.ล.อภิมงคล โสณกุล, ลาภศักดิ์ ลาภาโรจน์กิจ, กันตวรรณ ตันเถียร กุลจรรยาวิวัฒน์ ส่วนในคณะกรรมการกลุ่มงานยุทธศาสตร์ ปรากฏชื่อ นายแพทย์วัลลภ ไทยเหนือ, ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร, จุติ ไกรฤกษ์
ในคณะกรรมการบริหารพรรค ปรากฏชื่อ อัญชลี วานิช เทพบุตร, พินิจ กาญจนชูศักดิ์, สุกิจ ก้องธรนินทร์, พิเชษฐ พันธุ์วิชาติกุล และในคณะกรรมการสภาที่ปรึกษาพรรค ปรากฏชื่อ เล็ก นานา, อนันต์ อนันตกูล, อาทิตย์ อุไรรัตน์, ธารินทร์ นิมมานเหมินท์, ประดิษฐ์ ภัทรประสิทธิ์
คนเหล่านี้ แม้จะไม่ใช่ทุนใหญ่ฉูดฉาด แต่ก็มี "ศักยภาพ" ในการสนับสนุนกิจกรรมการขับเคลื่อนทางการเมืองของประชาธิปัตย์เช่นกัน
ทีม ข่าว BizWeek
Create Date : 17 ธันวาคม 2551 Last Update : 17 ธันวาคม 2551 18:54:47 น.
|
|
Tags: |
|
![]() |
|
คนสติดี
|
เป็นไรมากป่ะเนี่ยคุณ jrchai
|
|
Tags: |
|
![]() |
|
|
คุณคนสติดี มีปัญญามองเห็นปัญหาการสร้างภาพของนายบัณฑูรและนายประสารไหมล่ะครับ คุณเชื่อหรือไม่ว่าทั้ง 2 คนนี้ ไม่ยุ่งเกี่ยวกับการเมืองจริงอย่างที่พูดมาแล้วหลายครั้งหลายครา พรรคประชาวิบัติสร้างภาพปกปิดความชั่วช้าสารเลวได้ดีเพียงใด สองสหายนี้คุณว่าร้ายเท่าพรรคชั่วนี้ไหม
|
|
Tags: |
|
![]() |
|
|