เห็นด้วยเป็นอย่างยิ่งกับเจ้าของกระทุู้นี้และข้อความข้างล่างนี้ เขียนได้ตรงใจมาก
แค่คิดต่างนะครับ ไม่คิดแบ่งแยกว่าเป็นผู้ก่อการดี หรือผู้ก่อการร้าย
มีแต่รัฐบาลเท่านั้นแหละที่ยกระดับการชุมนุมด้วยการใส่ข้อหาผู้ก่อการร้าย
ให้กับประชาชนผู้คิดต่าง
คิดดูนะครับประชาชนคนธรรมดาย่อมมีอย่างน้อยในสถานการณ์
ที่รัฐบาลยัดเยียดข้อกล่าวหาว่าเป็นผู้ก่อการร้าย หนึ่งกลัวลนลาน
สองบ้าเลือด โกรธแค้นไม่กลัวอะไร พร้อมทำลาย
คิดดูนะครับไม่มีใครมีเวลาไปจำแนกหรอกครับ แค่ได้ยินคำว่าทหารล้อมกรอบ
มีอาวุธปืนเอ็ม 16 เอสเคอยู่ในมือพร้อม ไม่มีเวลาคิดพิจารณาหรอกครับ
ตกลงแล้วกระบอกไหนใช้กระสุนจริง กระบอกไหนกระสุนปลอม
แค่ปืนปลอมยังปล้นธนาคารทำให้คนกลัวลนลานได้เลย แต่นี้ทหารนะครับ
อาวุธจริงนะครับ แล้วไหนที่รัฐบาลยังออกข่าวอีก ว่ามีกองกำลังโม่งดำ ไม่สังกัดฝ่าย
ค่อยยิงก่อกวน ทั้งเสื้อแดง ทั้งทหาร ทหารเข้าล้อมกรอบอีก ตัดข้าวตัดน้ำ
หวังกดดันให้เขากลับบ้าน ถามจริงเถิด ถ้าจะทยอยออกจากที่ชุมนุมเพื่อกลับบ้าน
จะมั่นใจได้อย่างไรว่าไม่ถูกกองกำลังไม่ทราบฝ่าย หรือใครดักซุ่มยิง
มันก็เลยเกิดสภาวะหมาจนตรอก สภาวะยอมจำนน
คน 2กลุ่มที่ว่าย่อมมีปฏิกริยาตอบสนองต่างกัน ในสถานการณ์ดังว่านั้น
หนึ่งคือหาที่หลบกำบัง สองคือสร้างเขี้ยวเล็บมาตอบโต้
"ระบบการเมืองในวิถีระบอบประชาธิปไตย
ไม่มีที่ไหนในโลก ที่ประชาชนถูกทำร้ายโดยภาครัฐ
แต่รัฐบาลที่มาจากประชาชนไม่แสดงความรับผิดชอบ"
"เพราะถึงพันธมิตรฯจะทำผิด แต่รัฐบาลก็ไม่มีสิทธิทำร้ายประชาชน"
ผมไม่นึกไม่ฝันว่าเราจะมีรัฐที่ได้ทำร้ายประชาชนจนเสียชีวิต
และบาดเจ็บสาหัสแล้ว ยังมีรัฐที่ยัดเยียด
ความผิดให้ประชาชนอีก ถือเป็นพฤติกรรมที่รับไม่ได้
ผมเคยได้ยินฝ่ายรัฐบาลชอบถามคนนั้นคนนี้
ว่าเป็นคนไทยหรือเปล่า แต่พฤติกรรมที่ท่านทำอยู่
ไม่ใช่เป็นคนไทยหรือเปล่า แต่เป็นคนหรือเปล่า
เหตุการณ์ทั้งหมด นายกไม่สามารถปฏิเสธความรับผิดชอบ
ว่าเป็นผู้ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่หรือไม่ก็จงใจให้เหตุการณ์เกิดขึ้น
ยุบสภาจะเป็นการรับผิดชอบ ทำเถอะเพื่อบ้านเมืองสงบ
สร้างบรรทัดฐานที่ดีเถอะครับ
เวลามีการชุมนุมทางการเมือง จะถูกหรือผิดกฏหมายมันต้องมีคนเดือดร้อน
แต่ถามว่าคนที่ตากแดดตากฝนบนถนน ส่วนตัวหลายคนละทิ้งการ
งานทะเลาะกับครอบครัว ตรงนั้นเรามองว่าเป็นกบฏหรือเครื่องมือการเมืองหรือ
ไม่ใช่หรอกเราต้องคิด รัฐบาลต้องคิด นายกต้องคิด แต่วันนี้ท่านนายกไม่คิดแล้วครับ
ท้ายสุดแล้วรัฐบาลตั้งโจทย์ผิด ก็เลยแก้แบบผิดๆ เรื่องเลยบานปลาย
ตั้งโจทย์ว่า คนคิดต่าง ผู้ชุมนุมคือผู้ก่อการร้าย ภาพผู้การดีก็ลอยเขามาในหัวผู้ชุมนุม
ความเคียดแค้นชิงชังที่มีอยู่เดิม ยิงปะทุแรงโหมกล้า แก้ปัญหาโดยให้ทหาร
ถืออาวุธปืนครบมือ แทนที่จะเป็นแก๊สน้ำตา หรือรถฉีดน้ำ ผลลัพย์ก็อย่างที่เห็นๆ
กันอยู่ รัฐบาลและแกนนำคงประเมินอารมณ์ของแนวร่วมผิดไปถนัด
อภิสิทธิ์มองคนที่มาชุมนุมทุกคนเป็นทักษิณหมด แทนที่จะมองว่านี้คือประชาชนคนไทย
มันมีเหตุมีผลลึกๆ อยู่หลายปัจจัย แต่อภิสิทธิ์ มองว่าเป็นทักษิณทุกอย่างเลยจบ
แท้ที่จริงแล้ว ทุกครั้งที่นายกพูดเรื่องการบังคับใช้กฏหมายอย่างจริงจัง พูดถึงหลักนิติรัฐ
มันคือความเจ็บปวดที่เสียดแทงจิตใจของผู้คน อ้างหลักนิตรัฐไปทำไม
ในเมื่อมันโดนทำลายไปก่อนหน้านี้แล้ว แล้วใยท่านไม่ปกป้อง ใยท่านจึงอุ้มสม
แค่หลักการง่ายๆ ของกฏหมายบ้านนี้เมืองนี้ก็ปล่อยให้อคติ ทำลายลงอย่างย่อยยับ
แค่หลักนิติรัฐที่นักกฏหมายถือนักถือหนาว่า กฏหมายย่อมไม่ให้โทษย้อนหลัง
กฏหมายย่อมไม่ยกโทษให้คนทำผิดทั้งที่เกิดขึ้นแล้ว กระทำอยู่ และในอนาคต
กฏหมายมีไว้เพื่อลงโทษผู้กระทำความผิด ปกป้องคนดี
ไม่ใช่การเหมาเข่ง ผิดแค่ 1-3 คน แต่จับไปประหารชีวิตทั้งกลุ่ม
คิดให้ไกล กว้างๆ มันอาจจะสะใจเพียงชั่วครู่ชั่วยาม แต่ในอนาคตแล้วมันมืดมิด
ไร้ทางออก แล้วเมื่อถึงวันนั้นมันจะตอบกันไม่ได้ ว่าใครหนอที่เหมาะสมที่จะเป็นนายก
ท่ามกลางสงครามเศรษฐกิจอันเชี่ยวกรากนี้ ใยประเทศไทย จึงเอานักการเมืองรุ่นเหลน
ไปเป็นผู้ขับเคลื่อนประเทศชาติ ท้ายที่สุดแล้ว ก็ต้องฉีกแล้วยกร่างกันใหม่
ท้ายที่สุดแล้ว ไม่มีศพคุณโม่งชุดดำ สักศพสองศพเหรอครับ