️เมืองทอง ยูไนเต็ด ในยุคสายเลือดใหม่ที่นักเตะส่วนใหญ่ภายในทีม เป็นผลผลิตจากอคาเดมี่ที่ถูกดันขึ้นมาจากรุ่นสู่รุ่นจนมาถึงในชุดใหญ่ ภายใต้การคุมทีมของเฮดโค้ชเลือดกิเลนอย่าง มาริโอ ยูรอฟกี้ ที่ดึงเอาประสิทธิภาพและจิตวิญญาณของเหล่าแข้งซีเนียร์ หล่อหลอมเข้าด้วยกันจนเป็นทีมที่ไม่ควรประมาทกับพวกเขาถึงแม้ว่า เมืองทอง ยูไนเต็ด จะไม่ได้น่ากลัวเท่ายุคก่อนๆก็ตาม ผู้เล่นทุกคนแม้ว่าในเรื่องของฝีเท้าและประสบการณ์อาจจะยังมีไม่มากพอเมื่อเทียบกับเหล่าทีมชั้นนำบนลีกสูงสุดที่ส่วนใหญ่ใช้แข้งดีกรีระดับทีมชาติผสมกับผู้เล่นต่างชาติที่มีคุณภาพเป็นกำลังหลักของทีม แต่ว่าพวกเขาสามารถยืนหยัดและต่อกรกับเหล่ายอมทีมชั้นนำบนเวทีไทยลีกได้ด้วยทรัพยากรนักเตะที่ส่วนใหญ่เป็นแข้งที่ถูกผลักดันขึ้นมาสู่ทีมชุดใหญ่
️อีก 1 แข้งที่ถูกฟูมฟักมาจากชุดเยาวชนที่เหล่าสาวกกิเลนผยองต่างมองว่าเขานี่แหละคือว่าที่ยอดดาวยิงคนใหม่ของ เมืองทองยูไนเต็ด
ในอนาคตอันใกล้นี่ ด้วยสไตล์ กล้าเลี้ยง กล้าลุย กล้าเล่น และความกระหายที่อยากจะโชว์ผลงาน หลายคนบอกว่าเขาคือ นิว ธีรศิลป์ แดงดา “ฟร้องซ์ ปรเมศย์ อาจวิไล”
️ต้องบอกก่อนว่าแข้งดาวยิงอนาคตไกลของ กิเลนผยอง รายนี้ เดิมทีแล้วในวัยเด็กอายุราว 6-7 ขวบ เขาเคยเป็นแชมป์เดาะบอลยุวชนโลกมาแล้ว ด้วยการเดาะ 6,500 ครั้งในเวลา 1 ชั่วโมง เรียกได้ว่าเขาหาเงินจุนเจือครอบครัวจากการเดาะบอลตั้งแต่เด็กๆมาตลอด เขาออกโชว์ตามสถานที่ต่างๆ ตามแหล่งที่มีผู้คนสัญจร จนได้เงินมาเป็นกอบเป็นกำ พออายุได้ 14 ปี ในตอนนั้นขณะที่ยังศึกษาอยู่ที่โรงเรียนปทุมคงคา ปรเมศย์เป็นนักเตะฝึกหัดของสโมสร การท่าเรือ ช่วงเวลานั้นระบบอคาเดมี่ของการท่าเรือยังไม่ได้เป็นระบบเป็นรูปเป็นร่างมากนักในตอนนั้น ทำให้ปรเมศย์ถูก เมืองทอง ดึงตัวไปอยู่ในทีมเยาวชนของเมืองทอง พร้อมกับไปศึกษาต่อในระดับชั้นม.3ที่โรงเรียนโพธินิมิตวิทยาคม สถาบันที่เป็นเครือข่ายอคาเดมี่ของเมืองทอง ที่นั่นทำให้เขาได้ฝึกฝนขัดเกลาฝีเท้าของตัวเองอย่างเข้มข้นแบบจริงจังมากขึ้น อีกทั้งยังมีโอกาสมากมายที่จะเป็นใบเบิกทางสู่นักฟุตบอลอาชีพในอนาคต ปรเมศย์เขาได้กลายเป็นแข้งดาวรุ่งซุปเปอร์สตาร์ที่โดดเด่นในฟุตบอลเยาวชน เขาพาโรงเรียนโพธินิมิตวิทยาคมผงาดคว้าแชมป์ฟุตบอลกีฬา 7 สี ซึ่งรายการนั้นถือเป็นรายการที่เจ้าตัวทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมทำให้ชื่อของเป็นที่คุ้นหูของแฟนบอลชาวไทยมากขึ้นอีกด้วย
️ในฤดูกาล 2018 ปรเมศย์ ถูกดันขึ้นสู่ทีมชุดใหญ่ครั้งแรกนั่นถือเป็นประสบการณ์ที่ดีกับเด็กหนุ่มวัย 20 ปี ที่ได้มีโอกาสร่วมฝึกซ้อมอยู่ในทีมเดียวกันกับเหล่าแข้งสตาร์ทีมชาติไทยหลายคนในตอนนั้น ถึงแม้ว่าโอกาสที่จะเบียดตัวจริงลงสนามนั้นมีความเป็นไปได้ยากแต่เขาก็ยังคงมุ่งมั่นตั้งใจทำงานอย่างหนักก้มหน้าก้มตาฝึกซ้อมแสดงความตั้งใจจริงให้โค้ชเห็น จนในที่สุดเขาก็ได้รับโอกาสลงสนามบนลีกสูงสุดของประเทศในเดือนกันยายน 2018 ที่เมืองทองบุกไปเยือนโปลิศเทโร เขาได้เบิกสกอร์แรกให้กับเมืองทองอย่างเป็นทางการได้สำเร็จ ทำให้เขามีความมั่นใจมากขึ้นกับฝีเท้าของตัวเอง แต่ว่าเขาก็ยังบอกว่าต้องมีอีกหลายสิ่งที่ต้องปรับแก้ไขเรียนรู้เพิ่มเติมอีกมากมาย เพราะว่านี่เป็นแค่เพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น
️ทว่าในปี 2019 เขาได้รับอาการบาดเจ็บอย่างหนักทำให้ต้องพักยาวไป เช่นกันกับโอกาสในทีมชาติไทยก็หลุดลอยตามไปด้วย พอหายจากอาการบาดเจ็บในปีถัดมาก็ไม่สามารถเบียดแย่งตำแหน่งตัวจริงจาก แดร์เลย์ ศูนย์หน้าชาวบราซิลของกิเลนผยองในตอนนั้นได้ แต่เขาก็ยังได้รับโอกาสลงสนามอยู่บ้างจำนวน 14 นัดแต่ส่วนใหญ่จะถูกส่งลงตัวสำรอง แต่ก็ยังยิงได้ 1 ประตู ถัดมาในฤดูกาลนี้หลายสิ่งหลายอย่างภายในทีมเปลี่ยนไป มาริโอ ยูรอฟกี้ ได้ผลักดันและให้โอกาสผู้เล่นเยาวชนของสโมสรเข้ามาสู่ทีมชุดใหญ่อย่างเต็มรูปแบบ ทำให้โอกาสของปรเมศย์ที่จะยึดตำแหน่งตัวจริงมีมากขึ้น และดูเหมือนว่าเขาก็ตอบแทนความไว้ใจของโค้ชมาริโอได้อย่างยอดเยี่ยม เขามีสภาพร่างกายที่ฟิตสมบูรณ์ ความกระหายในชัยชนะ ไม่หวาดหวั่นว่าผู้เล่นฝ่ายตรงข้ามจะเป็นใคร เขากล้าเลี้ยง กล้าที่จะลุย กล้าที่จะยิง เรียกได้ว่าเป็นผู้เล่นสารพัดประโยชน์ในแดนบอลได้อย่างดีเยี่ยม ถ้าหากยังรักษามาตรฐานและมุ่งมั่นยกระดับฝีเท้าตัวเองขึ้นไปเรื่อยๆ ตำแหน่งดาวยิงคนใหม่ของกิเลนผยองก็คงจะหนีไม่พ้นแข้งที่เป็นผลผลิตของสโมสรรายนี้ไปได้อย่างแน่อน
ขอขอบคุณเนื้อหาดี ๆ จาก GOALSTORM
ข่าวฟุตบอล , ฟุตบอล ,ข่าวสารฟุตบอล
