หลังจากเครือซีพี และกลุ่มเทเลนอร์ ประกาศการพิจารณาสร้างความร่วมมืออย่างเท่าเทียมกัน (Equal Partnership) โดยการสนับสนุนให้ TRUE และ DTAC ตั้งเป้าปรับโครงสร้างธุรกิจสู่การเป็นบริษัทเทคโนโลยี (Technology Company) ภายใต้ยุทธศาสตร์เทคโนโลยีฮับด้านเทคโนโลยีระดับภูมิภาค และในระหว่างการศึกษาและพิจารณาการปรับโครงสร้างครั้งนี้ ธุรกิจ TRUE และ DTAC จะยังคงดำเนินไปตามปกติของแต่ละบริษัท เรียกว่ายังคงเป็นคู่แข่งกันเช่นเดิม
ผู้ใช้บริการ
โทรศัพท์มือถือ เกิดคำถามคาใจแล้วเราจะได้อะไรจากความร่วมมือนี้? รวมถึงความกังวลใจต่างๆนานา ในทางกลับกันทางด้านนักวิชาการ นายสืบศักดิ์ สืบภักดี นักวิจัยโทรคมนาคม สำนักวิจัยมหาวิทยาลัยกรุงเทพ, กรรมการและเลขาธิการสมาคมโทรคมนาคมแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ ให้ความเห็นว่า ความร่วมมือที่เกิดขึ้นน่าจะเกิดผลดีกับผู้บริโภคที่จะได้รับบริการที่ดีขึ้น ในระหว่างที่ยังไม่มีโครงสร้างในการบริหารและแผนการตลาดที่ชัดเจนจากความร่วมมือมือนี้ สิ่งที่ปรากฎออกมาทำให้เราเห็นว่าในระยะแรก แบรนด์ทั้ง 2 แบรนด์ ยังอยู่ ซึ่งก็คือบริการที่ผู้โภคจะได้รับยังคงมีอยู่ ส่วนความเป็นห่วงว่าจะมีการผู้ขาดตลาดหรือไม่คิดว่าเร็วเกินไปที่จะสรุปแบบนั้น เพราะผู้ประกอบการรายใหญ่ยังมีอยู่อีกราย ด้วยศักยภาพย่อมต้องมีแผนการตลาดออกมาเพื่อแข่งขันและรักษาส่วนแบ่งตลาด

ผู้ประกอบการโทรคมนาคมของไทยก็จะมี 3 ราย คือ AIS, NT และการรวมของ 2 บริษัท ก็จะเป็นการเสริมเพื่อให้แข็งแกร่ง และอุตสาหกรรมโทรคมนาคมยังคงมีอนาคต สภาวการณ์แข่งขันในอุตฯ โทรคมนาคมจะไม่เหมือนในอดีตที่ผ่านมา ซึ่งในอดีตอาจมองว่าเป็นธุรกิจดาวรุ่งให้ผลตอบแทนสูง บริษัทมีผลประกอบการสูงเพราะคนหันมาใช้โทรศัพท์กันจำนวนมาก แต่ในยุคปัจจุบันเทคโนโลยีมีการเปลี่ยนไป การลงทุนมีต้นทุนที่สูงขึ้น อาทิ เทคโนโลยี 5G การประมูลคลื่น ก็มีต้นทุนหลายหมื่นล้าน รวมถึงอุปกรณ์ต่างๆ จะเห็นว่าผู้ประกอบการมีภาระในการลงทุน แม้ธุรกิจจะยังเติบโต แต่ผลตอบแทนไม่เหมือนในอดีต
"เทรนด์การประกอบกิจการโทรคมนาคมทั้งโลกเปลี่ยนไป จะพบว่าบริษัทผู้ประกอบการที่มีแนวโน้มไม่เข้มแข็งจะมีการควบรวมมากขึ้น และจะมีผู้ประกอบการหลักแต่ละประเทศเพียง 3 ราย หรือเรียกว่า เมจิก ทรี อย่างเช่น ในสิงคโปร์ ฮ่องกง ญี่ปุ่น ฯลฯ จะมีการรวมตัวกันเพื่อเสริมความแข็งแกร่งมากขึ้น สำหรับประเทศไทยมองว่าไม่ใช่เคสแรก ก่อนหน้านี้ ก็มีเอ็นที ที่มีการรวมกับของ TOT และ CAT หรือ อย่าง AIS ก็มีการเปลี่ยนแปลงผู้ถือหุ้นมากก่อน เป็นการบริการจัดการเพื่อปรับทัพให้แข่งขันได้"การผูกขาดตลาดโทรคมนาคมเป็นประเด็นที่เรากังวลใจได้ แต่ต้องไม่ลืมว่า เรามีกฎหมายป้องกันการทุ่มตลาดของกระทรวงพาณิชย์ และประกาศป้องกันการผูกขาดตลาดของ กสทช. ที่สามารถเข้ามาคุ้มครองผู้บริโภคได้ อยากให้มอลดีลนี้ยาวๆมองถึงสิ่งที่จะเกิดในอนาคต มองในสิ่งที่ไม่จำกัดอยู่เฉพาะในประเทศไทยหรือตลาดเราเอง แต่มืองไปถึงแนวโน้มการขยายการลงทุนของบริษัทโทรคมนาคมไทยไปยังประเทศอื่นในอาเซียน อย่าง เมียนมาร์ มาเลเซีย และเวียดนาม เชื่อว่าหลังความร่วมมือที่เกิดขึ้นด้วยศักยภาพของสองกลุ่มเราจะเห็นการออกไปลงทุนในภูมิภาคมากขึ้น ทั้งในแง่การลงทุนในธุรกิจสื่อสารและการให้บริการแพลตฟอร์ม รวมถึงการลงทุนในบริษัทไฮเทคที่จะมีในอนาคต