ประชากรโลก 1.26 พันล้านคนมีความเสี่ยงสูงสุดที่จะเผชิญความขัดแย้งและการพลัดถิ่นเนื่องจากสิ่งแวดล้อมถูกทำลาย
สถาบันเศรษฐศาสตร์และสันติภาพ (Institute of Economics and Peace: IEP) เผยแพร่รายงานภัยคุกคามทางระบบนิเวศ (Ecological Threat Report: ETR) ฉบับที่สอง
ผลการค้นพบสำคัญ
11 จาก 15 ประเทศที่มีคะแนนภัยคุกคามทางสิ่งแวดล้อมย่ำแย่ที่สุดถูกระบุว่ากำลังอยู่ในสถานการณ์ความขัดแย้ง ส่วนอีก 4 ประเทศถูกระบุว่ามีความเสี่ยงสูงที่สันติภาพจะเสื่อมถอยลงอย่างมาก นับเป็นการตอกย้ำความสัมพันธ์ระหว่างการเสื่อมถอยของทรัพยากรกับความขัดแย้ง
ภายในปี 2593 ประชากรโลกครึ่งหนึ่งจะอยู่ใน 40 ประเทศที่มีความสงบสุขน้อยที่สุด โดยเพิ่มขึ้น 1.3 พันล้านคนจากระดับของปี 2563
ผลสำรวจทั่วโลกครั้งใหม่เผยให้เห็นว่า มีประชากรจีนเพียง 23% ที่มองว่าการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเป็นภัยคุกคามร้ายแรง ส่งผลให้จีนรั้งอันดับ 7 ประเทศที่ใส่ใจเรื่องนี้น้อยที่สุด
ความไม่มั่นคงทางอาหารทั่วโลกเพิ่มขึ้น 44% นับตั้งแต่ปี 2557 โดยส่งผลกระทบต่อประชากรโลก 30.4% ในปี 2563 และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอีก
โควิด-19 ส่งผลให้ความไม่มั่นคงทางอาหารเพิ่มขึ้น และทำให้ผู้ลี้ภัยไม่สามารถกลับบ้านเกิดได้
เนื่องจากความขัดแย้งส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกคิดเป็นมูลค่าสูงถึง 6 แสนล้านดอลลาร์ในปี 2563 รายงาน ETR จึงแนะนำว่า COP26 ต้องเพิ่มเงินสนับสนุนในการแก้ปัญหาทางระบบนิเวศ ก่อนที่จะทำให้ความขัดแย้งรุนแรงขึ้น
รายงาน ETR วิเคราะห์ปัจจัยบ่งชี้ความเสี่ยงทางระบบนิเวศหลายอย่าง ซึ่งรวมถึงการมีอาหารและน้ำ การเติบโตของประชากร และความยืดหยุ่นทางสังคม เพื่อทำความเข้าใจประเทศที่มีความเสี่ยงสูงสุดที่จะเผชิญกับการเสื่อมถอยของสันติภาพอย่างรุนแรง
ความขัดแย้งและภัยคุกคามทางระบบนิเวศ
ผลการค้นพบสำคัญจากรายงาน ETR ปี 2564 คือ การเสื่อมถอยของระบบนิเวศกับความขัดแย้งมีความสัมพันธ์แบบวงจรอุบาทว์ โดยการเสื่อมถอยของทรัพยากรนำไปสู่ความขัดแย้ง ซึ่งนำไปสู่การเสื่อมถอยของทรัพยากรยิ่งขึ้นไปอีก รายงานระบุว่า 11 จาก 15 ประเทศที่มีคะแนน ETR ย่ำแย่ที่สุดกำลังอยู่ในสถานการณ์ความขัดแย้ง ส่วนอีก 4 ประเทศถูกระบุว่ามีความเสี่ยงสูงที่สันติภาพจะเสื่อมถอยลงอย่างมาก และอีกหลายประเทศมีแนวโน้มเข้าสู่สถานการณ์ความขัดแย้งหากไม่มีการเปลี่ยนทิศทางของวงจรนี้
การเปลี่ยนทิศทางของวงจรดังกล่าวต้องอาศัยการยกระดับสภาพแวดล้อมทางนิเวศวิทยาและความยืดหยุ่นทางสังคม ซึ่งต้องใช้วิธีการที่เป็นระบบ นั่นหมายความว่าต้องมีการทบทวนแนวทางการพัฒนาในปัจจุบัน
ข้อมูลเพิ่มเติมได้ตอกย้ำถึงความรุนแรงของสถานการณ์ โดยจำนวนประชากรโลกที่ขาดสารอาหารเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่ปี 2559 และคาดว่าจะเพิ่มขึ้น 343 ล้านคนภายในปี 2593 ซึ่งจะเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ขณะเดียวกัน ความไม่มั่นคงทางอาหารก็เพิ่มขึ้นจนส่งผลกระทบต่อประชากรโลก 30.4% จากการรายงานขององค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ (FAO) [1] ทั้งที่ตลอดหลายสิบปีก่อนหน้านั้น แนวโน้มการขาดสารอาหารดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ ภาวะขาดสารอาหารรุนแรงกว่าในเพศชาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในแอฟริกา โดยผู้ชายผอมแห้งมีมากกว่าผู้หญิงถึงสองเท่า ขณะเดียวกันก็พบภาวะแคระแกร็นในเด็กชายมากกว่าเด็กหญิง
รายงานยังระบุด้วยว่า สามพื้นที่ของโลกมีความเสี่ยงสูงสุดที่จะเกิดการล่มสลายทางสังคมอันเป็นผลมาจากความไม่มั่นคงทางอาหาร การขาดแคลนน้ำ การเติบโตของประชากร และภัยธรรมชาติ โดยพื้นที่เหล่านั้นประกอบด้วยภูมิภาคซาเฮลในแอฟริกา ตั้งแต่มอริเตเนียถึงโซมาเลีย, แถบแอฟริกาตอนใต้ จากแองโกลาถึงมาดากัสการ์, แถบตะวันออกกลางและเอเชียกลาง ตั้งแต่ซีเรียถึงปากีสถาน ซึ่งพื้นที่เหล่านี้ต้องได้รับความสนใจอย่างเร่งด่วน
ภูมิภาคแอฟริกาใต้สะฮารามีความชุกของความไม่มั่นคงทางอาหารสูงสุด โดยประชากร 66% ประสบกับความไม่มั่นคงทางอาหาร และคาดว่าภายในปี 2593 ประชากรในแอฟริกาใต้สะฮาราจะอยู่ที่ราว 2.1 พันล้านคน เพิ่มขึ้น 90% จากจำนวนประชากรในปัจจุบัน นอกจากนี้ แอฟริกาใต้สะฮารายังมีปัจจัยชี้วัดความยืดหยุ่นทางสังคมต่ำที่สุดอีกด้วย
ภูมิภาคซาเฮลคืออีกหนึ่งพื้นที่สำคัญที่มีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดการล่มสลายทางสังคม เห็นได้จากการขยายตัวอย่างรวดเร็วของกลุ่มอิสลามหัวรุนแรง โดยไนเจอร์และบูร์กินาฟาโซติดกลุ่มประเทศที่มีความสงบสุขน้อยที่สุดในโลก (วัดโดยดัชนีสันติภาพโลก หรือ GPI) และติดกลุ่มประเทศที่ทำคะแนน ETR ได้ย่ำแย่ที่สุด
ภัยคุกคามทางระบบนิเวศและการอพยพย้ายถิ่น
รายงาน ETR พบว่า ประชากรโลกกว่า 1.26 พันล้านคนอาศัยอยู่ใน 30 ประเทศที่มีปัญหาหนัก โดยเผชิญทั้งความเสี่ยงทางระบบนิเวศขั้นรุนแรงและมีความยืดหยุ่นในระดับต่ำ ประเทศเหล่านี้มีแนวโน้มต่ำมากที่จะสามารถบรรเทาและปรับตัวเพื่อรับมือกับภัยคุกคามทางระบบนิเวศใหม่ ๆ ซึ่งมีแนวโน้มก่อให้เกิดการพลัดถิ่นครั้งใหญ่
จำนวนประชากรโลกที่ต้องพลัดถิ่นอันเนื่องมาจากความขัดแย้งเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในปี 2563 ประชากร 23.1 ล้านคนจากประเทศที่มีปัญหาหนักต้องอาศัยอยู่นอกประเทศบ้านเกิดของตนเอง โดยยุโรปเป็นภูมิภาคที่รับผู้ลี้ภัยมากที่สุดถึง 6.6 ล้านคน และตัวเลขดังกล่าวมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเป็นหลายสิบล้านคนอันเป็นผลมาจากการเสื่อมถอยของระบบนิเวศและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
Steve Killelea ผู้ก่อตั้งและประธานบริหาร สถาบันเศรษฐศาสตร์และสันติภาพ กล่าวว่า
"COP26 เป็นโอกาสอันดีที่จะทำให้บรรดาผู้นำประเทศตระหนักว่าต้องจัดการกับภัยคุกคามทางระบบนิเวศก่อนที่การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศจะทำให้ภัยคุกคามดังกล่าวเลวร้ายมากขึ้นไปอีก และจะต้องใช้งบประมาณเพิ่มขึ้นอีกหลายล้านล้านดอลลาร์ในการแก้ปัญหา"
"ทางออกของปัญหาเหล่านี้คือวิธีการที่เป็นระบบมากขึ้น โดยส่วนหนึ่งเกิดขึ้นได้ด้วยการตระหนักรู้ร่วมกันของบรรดาหน่วยงานด้านการพัฒนา แท้จริงแล้วปัญหาความขัดแย้ง ความไม่มั่นคงทางอาหารและน้ำ การพลัดถิ่น การพัฒนาธุรกิจ สุขภาพ การศึกษา และการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ทั้งหมดล้วนมีความเชื่อมโยงกัน และทุกฝ่ายต้องตระหนักถึงความเชื่อมโยงเหล่านี้จึงจะสามารถแก้ปัญหาได้ดีที่สุด"
ทัศนคติที่มีต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
ผลสำรวจประชากรกว่า 150,000 คน ใน 142 ประเทศพบว่า ประเทศที่ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สูงสุดคือประเทศที่ประชากรใส่ใจเรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศน้อยที่สุด และบางประเทศก็มีประชากรมากเป็นอันดับต้น ๆ ของโลก โดยผลสำรวจเผยให้เห็นว่ามีประชากรจีนเพียง 23% ที่มองว่าการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเป็นภัยคุกคามร้ายแรง ส่วนอินเดียมีเพียง 35% ขณะที่ค่าเฉลี่ยของโลกอยู่ที่ 49.8% โดยผู้ชายใส่ใจเรื่องนี้มากกว่าผู้หญิงเล็กน้อยที่ 2% [2]
หากประชากรในประเทศเหล่านี้ไม่เข้ามามีส่วนร่วม การรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศก็จะไม่มีประสิทธิภาพ